tag:blogger.com,1999:blog-638334864158720912023-11-15T06:21:23.780-08:00DORKPLADORKPLAhttp://www.blogger.com/profile/03890331456990457900noreply@blogger.comBlogger9125tag:blogger.com,1999:blog-63833486415872091.post-33074872198230833782010-11-29T23:04:00.000-08:002010-11-29T23:08:32.319-08:00openyoureyes<em><strong>เพลง : Open your eyes<br />ศิลปิน : Maher Zain<br />เนื้อเพลง : <br /><br />Look around yourselvesCan't you see this wonderSpreading front of you The clouds floating byThe skies are clear and blue..Planets in the orbitsThe moon and the sunSuch perfect harmonyLets start question in ourselvesIsn't this proof enough for usOr are we so blindTo push it all aside..No..We just have toOpen our eyes, our hearts, and mindsIf we just look bright to see the signsWe can't keep hiding from the truthLet it take us by surpriseTake us in the best way(Allah..)Guide us every single day..(Allah..)Keep us close to YouUntil the end of time..Look inside yourselvesSuch a perfect orderHiding in yourselvesRunning in your veinsWhat about anger love and painsAnd all the things you're feelingCan you touch them with your handsSo are they really thereLets start question in ourselvesIsn't this proof enough for usOr are we so blindTo push it all aside..No..We just have toOpen our eyes, our hearts, and mindsIf we just look bright to see the signsWe can't keep hiding from the truthLet it take us by surpriseTake us in the best way(Allah..)Guide us every single day..(Allah..)Keep us close to YouUntil the end of time..When a baby is bornSo helpless and weakAnd you're watching it growing..so why denywhat's in front of your eyes,The biggest miracle of life..We just have toOpen our eyes, our hearts, and mindsIf we just look bright to see the signsWe can't keep hiding from the truthLet it take us by surpriseTake us in the best way(Allah..)Guide us every single day..(Allah..)Keep us close to YouUntil the end of time..Open our eyes, our hearts, and mindsIf we just look bright to see the signsWe can't keep hiding from the truthLet it take us by surpriseTake us in the best way(Allah..)Guide us every single day..(Allah..)Keep us close to YouUntil the end of time..Allah..You created everythingWe belong to YouYa Rabb we raised our handsForever we thank You..Alhamdulillah.. </strong><strong></strong><em></em></em>DORKPLAhttp://www.blogger.com/profile/03890331456990457900noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-63833486415872091.post-10776012933432599182010-01-23T06:14:00.000-08:002010-01-23T06:19:41.268-08:00ถึงไม่ชอบก็ต้องตายถึงไม่ชอบก็ต้องตาย<br />12:41 AM, 17/1/2010 .. <a href="http://www.islaminside.com/blog/umahat/3037/%E0%B8%96%E0%B8%B6%E0%B8%87%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B8%8A%E0%B8%AD%E0%B8%9A%E0%B8%81%E0%B9%87%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%95%E0%B8%B2%E0%B8%A2.html">0 comments</a> .. <a href="http://www.islaminside.com/blog/umahat/3037/%E0%B8%96%E0%B8%B6%E0%B8%87%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B8%8A%E0%B8%AD%E0%B8%9A%E0%B8%81%E0%B9%87%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%95%E0%B8%B2%E0%B8%A2.html">Link</a> <br />يا أيها الذين آمنوا اتقواالله حق تقاته ولا تموتن إلا وأنتم مسلمون<br />โอ้ผู้ศรัทธา เจ้าอย่าตายจนกว่าเจ้าจะเป็นผู้ศรัทธา<br />ถึงไม่ชอบก็ต้องตาย.....<br /> ทุกชีวิตจะต้องลิ้มรสความตาย แล้วในที่สุด สูเจ้าก็จะถูกนำกลับมายังเรา กรุอาน 29:57<br />ความตายเป็นสิ่งที่มนุษย์มิอาจปฎิเสธและหลีกพ้นได้ ทันทีที่มนุษย์เริ่มกำเนิดออกมาจากท้องแม่ มนุษย์ก็เริ่มเดินเข้าสู่ความตายทุกขณะแล้ว จะช้าจะเร็วก็ขึ้นอยู่กับวาระของแต่ละคนว่าถูกกำหนดไว้ยาวนานแค่ไหน แต่ที่แน่ๆ ก็คือ ทุกคนต้องตาย และถึงแม้ความตายจะเป็นเรื่องอนาคตของชีวิต แต่ทัศนคติของมนุษย์ที่มีต่อความตายและโลกเบื้องหลังความตายนั้นมีผลอย่างสำคัญต่อชีวิตในโลกปัจจุบันของมนุษย์บนโลกนี้และต่อชีวิตที่แท้จริงของในโลกหน้า<br /> มนุษย์เกิดมาเพียงเพื่อกิน นอน ถ่าย สืบพันธุ์ และตายเหมือนกับสัตว์ทั่วไปกระนั้นหรือ?ความตายเป็นจุดสุดท้ายของชีวิตใช่ไหม?ถ้าตอบออกมาว่า ใช่..พฤติกรรมของมนุษย์ก้จะเป็นไปตามความเชื่อของเขา นั่นคือ มนุษย์จะดำเนินชีวิตไม่ต่างอะไรไปจากสัตว์ ที่มีชีวิตอยู่ไปวันๆเพื่อโลกนี้ ถ้าจะดีก็ไม่ดีไปกว่าสัตว์มากนัก แต่ถ้าเลว มนุษย์จะเลวและน่ากลัวยิ่งกว่าสัตว์ เพราะมนุษย์มีความสามารถที่จะทำความเลวทรามได้มากกว่าสัตว์และยังพยายามที่จะทำความเลวทรามให้เป้นเรื่องดีงามด้วย<br /> ในทางตรงข้าม ถ้าหากมนุษย์คิดว่าความตายยังไม่ใช่จุดสุดท้ายของชีวิต แต่หลังจากความตายไปแล้ว ยังมีโลกใหม่อีกโลกหนึ่งที่รอชีวิตใหม่ของเขาและเป็นโลกที่เขาจะได้รับการตอบแทนความดีความชั่วที่เขาได้กระทำไว้ในขณะที่มีชีวิตอยู่ในโลกนี้ พฤติกรรมในการดำเนินชีวิตของเขาก็จะปรากฎออกมาอีกรูปแบบหนึ่ง<br /> ความตายมิใช่การสิ้นสุดหรือการสูญสิ้นของชีวิต หากแต่การเป็นการโยกย้ายของชีวิตจากโลกหนึ่งไปยังอีกโลกหนึ่งและจากสภาพหนึ่งไปสู่สภาพหนึ่งโดยที่ชีวิตของมนุษย์ยังคงดำเนินอยู่ต่อไปในรูปแบบอื่น เช่นเดียวกับผีเสื้อที่ชีวิตจริงของมันมิใช่ดักแด้<br /> เมื่อถึงเวลามนุษย์ตายลง จะมีมาลาอีกะฮฺห้าท่านเข้ามาถาม<br />มาลาอีกะฮฺท่านแรกเดินเข้ามา ยามที่วิญญานกำลังออกจากร่างและถามว่า....โอ้ลูกหลานอาดัม<br />_ไหนล่ะร่างกายที่แข็งแรง ทำไมวันนี้ถึงอ่อนแรง?<br />_ไหนล่ะลิ้นที่เจ้าเคยพูด ทำไมวันนี้เจ้าถึงเงียบไปล่ะ?<br />_และไหนญาติเจ้า และครอบครัวครัวของเจ้า?<br />มาลาอีกะฮฺท่านที่สองก็เข้ามา ยามกาฟัน/จะหีบห่อศพ และเดินเข้ามาถามว่า...<br />โอ้ลูกหลานอาดัม<br />_ไหนล่ะทรัพย์สมบัติเจ้าที่เจ้าสะสมไว้จะใช้เมื่อยามเดือดร้อน<br />มาลาอีกะฮฺท่านที่สามเดินเข้ามายามที่แบกศพไป และมาถามว่า......โอ้ลูกหลานอาดัม<br />_วันนี้เจ้าต้องเดินทางไกล และเจ้าไม่เคยเดินทางไกลมาก่อนนี้เลย<br />_วันนี้เจ้าต้องไปเยื่อมพวกเขา ซึ่งก่อนหน้านี้เจ้าไม่เคยไปเยื่อม<br />_วันนี้เจ้าต้องเดินทางเข้าที่แคบ แคบจนเจ้าไม่เคยเข้าไปอยู่ที่แคบ อย่างนี้มาก่อน<br />มาลาอีกะฮฺท่านที่สี่เดินเข้ามายามที่ถูกฝังกลบ และมาถามว่า...โอ้ลูกหลานอาดัม<br />_เมื่อวานเจ้าเดินบนแผ่นดิน แต่วันนี้เจ้าอยู่ใต้ดินและทำไมถึงเงียบ<br />_เมื่อวานเจ้าหัวเราะสนุกสนานเฮฮา แต่วันนี้ทำไมเจ้าร้องไห้อยู่ใต้ดิน<br />_เมื่อวานเจ้ายังทำชั่ว แต่วันนี้ทำไมเจ้าเพิ่งสำนึกตน<br />มาลาอีกะฮฺท่านสุดท้ายเข้ามา ยามที่ทุกคนมาส่งกลับไปหมดแล้ว ฝังเรียบร้อยแล้ว มาถามว่า....โอ้ลูกหลานอาดัม<br />_วันนี้ทุกคนทิ้งเจ้ากันหมด<br />_วันนี้ทรัพย์สมบัติเจ้าก็ไม่สามารถช่วยเหลือเจ้าได้<br />_และวันนี้แหละเจ้าได้รู้ว่า จะได้เข้าสวรรค์อันสูงส่งอันทรงเกียรติ หรือตกนรกอันสพรึงกลัวและสุดแสนทรมาร<br /><br />“ฉันไม่เคยเห็นภาพใดภาพหนึ่งที่จะน่าสะพรึงกลัวมากกว่าสภาพในหลุมฝังศพ”<br /> บันทึกโดย อัตติรมีซีและอิบนุญามาอะฮฺ<br />“และแท้จริง กุบุรเหล่านี้ได้เต็มไปด้วยความมืดมิด และอัลลอฮฺได้ทรงทำให้กุบุรเหล่านี้ได้รับแสงสว่างด้วยการละหมาดของฉัน”บันทึกโดย อัลบุคอรี มุสลิม อบุดาวุด<br />อิบนุญามาอะฮฺ อัลบัยฮากี และอะหมัด<br />“และแท้จริง ในกุบุรนั้นมีการบีบรัด หากจะมีคนที่รอดจากการบีบรัดนี้ก้คงเป็นชะฮฺด บินมุอาซ”แม้กระทั่งเด็กก็ไม่รอดพ้นการถูกบีบรัดนี้ได้ ดั่งที่หะดิษท่านนาบีได้กล่าวว่า<br />“หากจะมีใครรอดพ้นการถูกบีบรัดของกุบุรแล้ว เด้กคนนี้ก็คงรอดพ้นแล้ว” หะดิษซอเฮียะอัลญาเมียะฮฺ โดยเชคอัลบานี<br />“พวกเจ้าจงระลึกถึงที่ทำลายความสำราญ นั่นคือความตาย อย่างสม่ำเสมอ เพราะแท้จริง มันจะทำให้ความคับแคบในชีวิตกลับกลายเป็นความกว้างขวาง หมายถึงการใช้ชีวิตอยู่อย่างเรียบง่าย พอเพียง และไม่รู้สึกต่ำต้อยแม้ว่าจะลำบากยากจน และจะทำให้ความกว้างขวางในชีวิตนั้นคับแคบลง หมายถึงทำให้มนุษย์ที่อยู่สุขสำราญต้องใช้ชีวิตอยู่ในกรอบของศาสนา มิใช่อยู่อย่างไร้กฎเกณฑ์”บันทึกโดยอิบนุญามาอะฮฺ อัตติรมีซี อัลฎอบรอนี อัลบัยฮากี และอิบนุฮิบบาน หะดิษซอเฮียะ เชคอัลบานีDORKPLAhttp://www.blogger.com/profile/03890331456990457900noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-63833486415872091.post-22524661244253477472010-01-23T06:06:00.000-08:002010-01-23T06:07:36.012-08:00อัลลอฮฺผู้ทรงยิ่งใหญ่อัลลอฮฺผู้ทรงยิ่งใหญ่<br />9:40 PM, 29/11/2009 .. <a href="http://www.islaminside.com/blog/attaiboon/2958/%E0%B8%AD%E0%B8%B1%E0%B8%A5%E0%B8%A5%E0%B8%AD%E0%B8%AE%E0%B8%BA%E0%B8%9C%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B8%97%E0%B8%A3%E0%B8%87%E0%B8%A2%E0%B8%B4%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B8%8D%E0%B9%88.html">0 comments</a> .. <a href="http://www.islaminside.com/blog/attaiboon/2958/%E0%B8%AD%E0%B8%B1%E0%B8%A5%E0%B8%A5%E0%B8%AD%E0%B8%AE%E0%B8%BA%E0%B8%9C%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B8%97%E0%B8%A3%E0%B8%87%E0%B8%A2%E0%B8%B4%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B8%8D%E0%B9%88.html">Link</a><br />อัลลอฮฺผู้ทรงยิ่งใหญ่<br />โดย shabab kolbunsalim<br /> ด้วยพระนามของอัลลอฮ ผู้ทรงกรุณาปรานี ผู้ทรงเมตตา<br />اللَّهُ أَكْبَرُ اللَّهُ أَكْبَرُ ، لَا إلَهَ إلَّا اللَّهُ ، وَاَللَّهُ أَكْبَرُ اللَّهُ أَكْبَرُ وَلِلَّهِ الْحَمْدُ<br />อัลลอฮฺทรงเกรียงไกร อัลลอฮฺทรงเกรียงไกร,<br />ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮฺ และอัลลอฮฺทรงเกรียงไกร, อัลลอฮฺทรงเกรียงไกร การสรรเสริญเป็นกรรมสิทธิ์ของอัลลอฮฺ<br /> ผ่านไปอีกแล้วกับวัน(อีด)ที่บ่าวผู้ศรัทธาทั้งหลาย ได้ทำการแซ่ซ้อง สดุดี สรรเสริญในความยิ่งใหญ่ของพระองค์อัลลอฮซุบฮานาฮุวา ตะอาลา ในการสรรค์สร้างทุกสิ่งทุกอย่างในบรรดาชั้นฟ้าและแผ่นดิน ในการบันดาลน้ำฝนและการประทานปัจจัยยังชีพต่างๆ รวมไปถึงการประทานลมหายใจเข้าออกของมนุษยชาติทั้งหลายได้ใช้ชีวิตไปอย่างมีจุดมุ่งหมายของการดำเนินชีวิตไปในแต่ละวัน<br /> คงจะเป็นไปไม่ได้ใช่ไหม หากจะมีบ่าวผู้ศรัทธาสักคนหนึ่งจะแซ่ซ้องสดุดี สรรเสริญ เชิดชูพระองค์ท่านในทุกช่วงเวลาของวันอีด หรือทุกช่วงเวลาอื่นๆตลอดการดำเนินชีวิตของเขา เขาจะนำสิ่งอื่นใดมาเป็นที่รัก เชิดชู สรรเสริญ เยินยอปอปั้น มาเทียบเคียงหรือเทียบเท่ากับพระองค์ท่านด้วยได้แน่ เว้นแต่เขาผู้นั้นจะเป็นผู้ที่ยังไม่เข้าใจถึงแก่นแท้ของการศรัทธามั่นถือมั่นว่า พระองค์อัลลอฮซุบฮานาฮุวา ตะอาลาองค์เดียวเท่านั้น คือ ผู้ที่สมควรที่จะได้รับสรรเสริญ เชิดชูในความยิ่งใหญ่ ของการสร้างชั้นฟ้าและแผ่นดินทั้งหลายอย่างแท้จริง<br />พี่น้องครับ อัลลอฮซุบฮานาฮุวา ตะอาลาทรงตรัสไว้ในซูเราะห์ Al-Baqarah อายะฮที่ 256 ซึ่งมีใจความว่า “…….ดังนั้น ผู้ใดปฎิเสธศรัทธาต่ออัฏ-ฏอฆูตและศรัทธาต่ออัลลอฮฺแล้ว แน่นอนเขาได้ยึดห่วงอันมั่นคงไว้แล้ว โดยไม่มีการขาดใดๆเกิดขึ้นแก่มัน และอัลลอฮฺนั้นเป็นผู้ทรงได้ยิน ผู้ทรงรอบรู้”<br /> หลายคนในวันนี้!!มักจะคิดเพียงแค่ว่า ฉันได้กล่าวกาลีเมาะชะฮาดะหแล้ว ฉันได้กล่าวสรรเสริญพระองค์ท่านแล้ว นั่นก็ถือว่า ฉันก็เป็นมุสลิมที่ศรัทธาในอัลลอฮซุบฮานาฮุวา ตะอาลาแล้วหล่ะ แต่เราเคยรู้ไหมครับว่า ข้อพิสูจน์ของความมั่นคงในการศรัทธาต่ออัลลอฮซุบฮานาฮุวา ตะอาลาอย่างแท้จริงนั้น คือการที่เค้าเหล่านั้นจำต้องปฏิเสธ อัฏ-ฏอฆูต (**) ทั้งหลาย มิใช่การยอมรับ และมิใช่การนิ่งเฉยกับอัฏ-ฏอฆูต ที่มีส่วนของการที่ทำให้พี่น้องมุสลิมนั้นนิ่งเฉย และละทิ้งในสิ่งที่อัลลอฮซุบฮานาฮุวา ตะอาลาทรงสั่งใช้และสั่งห้ามต่างๆและเราจะต้องปฏิเสธในสิ่งเหล่านี้ที่มีอยู่ในหัวใจของเราให้หมดสิ้นไป<br />ในบางครั้งการที่เรานำสิ่งอื่นหรือบุคคลใกล้ตัวมาเป็นที่รัก และสรรเสริญ เยินยอ เชิดชูและทำความรู้จักมากไปกว่าการรู้จักพระองค์ที่แท้จริงแล้วนั้น นั่นก็เป็นความบกพร่องแล้วซึ่งอีหม่านของเขาในฐะนะที่เค้านั้นศรัทธามั่นถือมั่นว่าอัลลอฮซุบฮานาฮุวา ตะอาลาเพียงองค์เดียวเท่านั้น คือ พระเจ้าที่แท้จริง<br /> เราปฏิเสธไม่ได้ว่า ทุกสรรพสิ่งที่อยู่ในชั้นฟ้าและแผ่นดินล้วนแล้วแต่เป็นสรรพสิ่งที่มาจากการสรรค์สร้างพระองค์ท่านทั้งสิ้น แต่ไฉนเลยในวันนี้ ในความเข้มข้นของการแสดงออกถึงความรัก ความภักดี และการกล่าวถ้อยคำใดๆที่ออกมานั้น เรากลับนำสิ่งอื่นๆมาเทียบเท่ากับพระองค์หรือมากไปกว่าพระองค์อัลลอฮซุบฮานาฮุวา ตะอาลาได้หล่ะครับ <br />นาอูซูบิลลาฮ....<br /> วันนี้!!ทุกคนมักจะบอกว่า ฉันรักอัลลอฮ อัลลอฮนั้นยิ่งใหญ่นัก อัลลอฮนั้นทรงเกรียงไกรนัก และอัลลอฮนั้นคือผู้ที่ฉันขอความช่วยเหลืออยู่เสมอ แต่ในช่วงเวลาของชีวิต หนึ่ง เรากลับนำสิ่งรอบข้างมาเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่สำหรับเราหรือ เป็นสิ่งที่เรานั้นต้องเชิดชูหรือ หรือเพราะว่าเค้านั้นดีกับเรา หรือเพราะว่าเค้านั้นช่วยเหลือเรา !!<br />หรือบางครั้งในยามที่เราเสียใจ ทุกข์ใจ เศร้าใจ หรือต้องประสบปัญหาต่างๆในชีวิตนั้น เรามักจะนึกถึงเพื่อน คนรัก แฟน หรือบุคคลอื่นๆที่เรานั้นมักจะนึกขึ้นได้ก่อนมาเป็นที่ปรึกษาเป็นอันดับแรก โดยไม่นึกถึงก่อนว่า ฉันจะต้องยกมือขอดุอาร์จากอัลลอฮซุบฮานาฮุวา ตะอาลาก่อนนะ แล้วพระองค์ก็จะทรงความช่วยเหลือฉันเองหล่ะ !!เราไม่เคยเลยใช่ไหมครับ ซึ่งเมื่อหัวใจและการกระทำของเราเป็นดั่งนี้แล้ว เราก็ควรและนำมาพิจารณาได้แล้วหล่ะครับว่า<br />จริงหรือ!!ที่ฉันรักอัลลอฮที่สุด จริงหรือ!!ที่ฉันกล่าวว่าอัลลอฮนั้นยิ่งใหญ่นัก จริงหรือ!!ว่าอัลลอฮนั้นคือผู้ช่วยเหลือฉันเสมอ<br />จริงหรือครับ???<br />หรือในวันนี้!!ฉันก็รักอัลลอฮ ฉันก็รักรอซูล ฉันก็รักพ่อ รักแม่ ลูกๆและเพื่อนๆๆ แต่เราเคยหันมาตรวจสอบและชั่งน้ำหนักของความรักที่เรามีไหมครับว่า ความรักที่เรามีให้นั้น ใครคือคนที่เรารักมากกว่ากัน ใครคือคนที่สมควรรักมากกว่ากัน และใครหรือครับที่เราควรนำมาสรรเสริญ เชิดชู เหนือกว่าสิ่งอื่นใด เพียงผู้เดียว ใครกันหรือครับ หากไม่ใช่ พระองค์อัลลอฮ ซุบฮานาฮุวา ตะอาลา มีรายงานจากอนัส จากท่านนบี ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า “สามประการ ที่ผู้ใดมีสามประการนี้อยู่ในตัว, เขาได้พบกับความหวานชื่นของการศรัทธา คือ<br /> (1)ผู้ใดที่ให้อัลลอฮ์และรอซูลเป็นที่รักยิ่งของเขามากกว่าผู้อื่นทั้งหมด (2)การที่เขารักใครคนหนึ่งก็มิได้มิได้มีจุดประสงค์เพื่อสิ่งใดนอกจากเพื่ออัลลอฮ์ (3) ในการที่เขารังเกียจจะคืนกลับสู่การปฏิเสธการศรัทธา หลังจากที่อัลลอฮ์ได้ให้เขาหลุดพ้นสภาพนั้นมาแล้ว เหมือนดังที่เขารังเกียจที่จะถูกโยนลงนรก”บัโดยมุสลิม/หมวดที่1/บทที่17/ฮะดีษเลขที่ 0067<br /> ท้ายที่สุดแล้ว เมื่อเราเอง พี่น้องเอง ได้รู้แล้วว่า การที่เราศรัทธาต่ออัลลอฮนั้น มิได้หมายรวมว่า เราไม่ต้องปฏิเสธต่อฏอฆูตเลย แม้ในหัวใจหรือคำพูดก็ตาม เราก็ต้องมาดูอีกว่า ความรักแบบไหนที่จะทำให้อีหม่านของเรานั้นสมบูรณ์ ความรักแบบไหนที่จะทำให้อีหม่านเรานั้นมั่นคง และความรักแบบไหนหรือ??ที่พระองค์อัลลอฮซุบฮานาฮุวาตะอาลาทรงให้ท่านนบีศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัมมาการันตีว่านั่นแหละ คือ ผู้ที่ได้สัมผัสแล้วซึ่งความหวานชื่นของการศรัทธา<br />เราก็คงต้องมาสอดส่องถึงพฤติกรรของคนรอบข้าง คนในครอบครัว ลูกหลานของเราหรือคนที่เรารู้จักแล้วหล่ะนะว่า ณ เวลานี้ ตอนนี้ เขามีความเชื่ออย่างที่เราเข้าใจ ตามที่อัลลอฮซุบฮานาฮุวา ตะอาลา ตรัสไหม ตามที่ท่านนบี ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม กล่าวไว้หรือเปล่า เราคงต้องช่วยๆกันแล้วนะครับ..อินชาอัลลอฮ<br />والسلام عليكم ورحمة الله وبركاته<br />---------------------------------------------<br /> **ท่านอิบนุกะษีรกล่าวว่า” และคำพูดที่ถูกต้องในทัศนะของข้าพเจ้า ในคำว่า ฏอฆูต คือ ทุกผู้ที่ละเมิดต่ออัลลอฮ แล้วเขาถูกเคารพภักดี (ถูกผู้อื่นอิบาดะฮต่อเขา)อื่นจากพระองค์(อื่นจากอัลลอฮ) บางที ก็ด้วยการบังคับจากเขาต่อผู้ที่อิบาดะฮต่อเขา และบางทีก็ด้วยการภักดีที่มีต่อเขา จากผู้ที่อิบาดะฮเขา และสิ่งที่ถูกเคารพภักดีดังกล่าวนั้น อาจจะเป็น มนุษย์ เป็นชัยฏอน รูปเจว็ด หรือ รูปปั้น หรือ ไม่ว่าจะเป็นสิ่งใดก็ตาม-ดูตัฟสีรอิบนิกะษีรอรรถาธิบายอายะฮที่256ซูเราะฮอัลบะเกาะเราะฮ وقال الإمامعبدالرحمن السعدي : ( كل حكم بغير شرع الله فهو : طاغوت . ) اهـ<br />تيسيرالكريم الرحمن 1/ 363<br />โฉมใหม่แล้วบางส่วนวันนี้ที่ http://shabab00.wordpress.com/http://mureed.com/article/Shabab%5EArticle.htmlshabab_000@hotmail.com---------------------------------------------DORKPLAhttp://www.blogger.com/profile/03890331456990457900noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-63833486415872091.post-18691577473867417302010-01-23T06:03:00.000-08:002010-01-23T06:05:14.482-08:00เสียอิสลามเพราะเอาฮา!!เสียอิสลามเพราะเอาฮา!!<br />11:18 PM, 19/12/2009 .. <a href="http://www.islaminside.com/blog/attaiboon/2987/%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%AD%E0%B8%B4%E0%B8%AA%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%AE%E0%B8%B2%21%21.html">0 comments</a> .. <a href="http://www.islaminside.com/blog/attaiboon/2987/%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%AD%E0%B8%B4%E0%B8%AA%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%AE%E0%B8%B2%21%21.html">Link</a><br />เสียอิสลามเพราะเอาฮา!!<br />โดย อบูนะบีล<br />بِسْمِ اللهِ الرَّحْمَنِ الرَّحِيْم<br />السلام عليكم ورحمة الله وبركا ته<br />إِنَّا لِلّهِ وَإِنَّـا إِلَيْهِ رَاجِعونَ<br />อินนาลิลลาฮ วาอินนา อิลัยฮีรอญีอูน<br />แท้จริงพวกเรา เป็นกรรมสิทธิ์ของอัลลอฮ์ และแท้จริงพวกเราจะกลับไปยังพระองค์<br /> คำดำรัสที่อัลลอฮซุบฮานาฮุวา ตะอาลา ทรงให้ผู้ศรัทธาได้กล่าว พูด ในยามที่มีเคราะห์ร้ายมาประสบแก่พวกเขา หรือมีใครเค้าเสียชีวิต หรือสรรพสิ่งทุกสิ่งนั้นพร่องไป แม้กระทั่งเชือกผูกรองเท้าที่ขาดไป เพื่อให้บ่าวของพระองค์ได้รำลึก ทบทวน ตระหนักถึงความเป็นอยู่ของตัวเองในการดำเนินชีวิตไปแต่ละวันและเพื่อให้ได้รับรู้และให้ได้ตรวจสอบอามาลอยู่เสมอว่า เพียงพอแล้วไหม??กับการที่จะต้องกลับไปสู่พระองค์ในสักวันนั้นเป็นแน่<br />แต่เป็นที่น่าเสียใจที่สังคมในวันนี้มีพี่น้องเราบางท่าน บางคนกลับถูกสื่อทีวี โทรทัศน์หรือจากสังคมรอบข้างต่างๆหรือจะด้วยเหตุผลใดไม่ทราบ แทรกซึมไปด้วยกับความตลกโปกฮา การล้อเล่น หรือการล้อเลียนในเรื่องต่างๆ จนเกิดความเคยชินต่อการกล่าวถ้อยคำออกมาไม่เว้นแม้กระทั่ง หลักการของอัลลอฮซุบฮานาฮุวา ตะอาลา ก็ยังที่จะนำมาเป็นเรื่องที่พูด ตลก ขบขันกัน เพียงแค่พูดให้มันสนุกๆ เพียงแค่พูดเพื่อเอาฮา หรือเพื่อให้สมาชิกเรานั้นได้หัวเราะกันเท่านั้น จนบางทีเลยเถิดถึงขนาดที่ว่านำคำดำรัสข้างต้นมาพูดไปในทำนองว่า มีแต่ญีอูน ไม่มีญีแอบ้างหรอ!!(นาอูซูบิลลาฮ)<br /> หรือบางคนยังลามไปพูด ล้อเล่น ขบขันกันในหลักการศาสนาที่สั่งใช้ให้ผู้ศรัทธาเค้าได้ปฏิบัติกัน มาเป็นเรื่องที่พูดล้อเลียน ประชดประชัน ดูถูกเหยียดหยาม หรือมองพี่น้องที่เค้าได้ปฏิบัติในหลักการดังกล่าวเป็นตัวตลกไปแล้ว โดยพูดในเชิงที่ว่า ออ!! คนนั้นไว้เครา ดูๆแล้วก็เหมือนเคราแพะเลยเนอะ ตลกดี<br />ออ!! คนนี้คลุมหน้าหรอ ดูๆแล้วมันก็เหมือนนินจาเลยหล่ะ บางทีก็เหมือนอัยโม่งเลยหล่ะ ประมาณนี้ หรือบางครั้งประโยคหรือถ้อยคำที่อยู่ในอายะฮฺอัลกุรอาน เช่น คำว่าต้นมะเดื่อ และต้นมะกอกเรากลับนำมาใช้เป็นเรื่องที่พูด ล้อเล่น ตลกเฮฮาหัวเราะกันในวงสนทนาขณะที่รับประทานอาหารกัน โดยพูดในทำนองที่ว่า เอาอีกสักซูเราะหฺมะเดื่อ หรือซูเราะหฺมะกอกนึงซิ ยังไม่อิ่มเลยนะ ติดคอหล่ะเนี่ย ทำนองนี้ เป็นต้น<br /> พี่น้องผู้ศรัทธาแล้วทุกท่านครับ ผมเองมิอาจที่ จะทราบได้หรอกนะว่าประโยคใด ถ้อยคำใด บางคำ หรือบางประโยคที่เรามักจะใช้กันอยู่ในวันนี้ หรือประโยคที่ผมนำมาเสนอดั่งที่ปรากฎขึ้นจริงในสังคมทุกวันนี้นั้น มันจะเป็นประโยคที่เสี่ยงต่อการทำลายความศรัทธาในอิสลามของเราแล้วหรือไม่อย่างไรแล้วหรือเปล่า วัลลอฮฮุอะลัม แต่เท่าที่ผมทราบมานั้น อัลลอฮซุบฮานาฮุวา ตะอาลา ทรงตรัสไว้ในเรื่องหลักการสำคัญของอิสลาม ซึ่งเป็นเหตุให้ความเป็นอิสลามในตัวหมดไป ไว้ดังนี้นะ<br /> อัลลอฮซุบฮานาฮุวา ตะอาลา ทรงตรัสไว้ในซูเราะห์ อัต-เตาบะฮฺ อายะฮที่ 65-66 ซึ่งมีใจความว่า “และถ้าหากเจ้าได้ถามพวกเขา แน่นอนพวกเขาจะกล่าวว่า แท้จริงพวกเราเป็นเพียงแต่พูดสนุกและพูดเล่นเท่านั้น จงกล่าวเถิด (มุฮัมหมัด) ว่าต่ออัลลอฮฺและบรรดาโองการของพระองค์และรอซูลของพระองค์กระนั้นหรือที่พวกท่านเย้ยหยัน”<br /> “พวกท่านอย่าแก้ตัวเลย แท้จริงพวกท่านได้ปฏิเสธศรัทธาแล้ว หลังจากการมีศรัทธาของพวกท่าน หากเราจะอภัยโทษให้แก่กลุ่มหนึ่งในหมู่พวกเจ้า เราก็จะลงโทษอีกกลุ่มหนึ่ง เพราะว่าพวกเขาเป็นผู้กระทำผิด <br /> อิบนุตัยมิยะห์ ร่อฮิม่าฮุ้ลลอฮฺ กล่าวว่า “การล้อเล่นในเรื่องที่เกี่ยวกับอัลลอฮฺ ซ.บ. คุณลักษณะของพระองค์ และรอซูลของพระองค์ ถือได้ว่าเป็นกุฟร (ปฏิเสธศรัทธา) และถ้าใครทำการกระทำเช่นนั้น เขาก็จะเป็นผู้ปฏิเสธศรัทธา หลังจากที่เขาเคยศรัทามาก่อน”<br />หลักการดังกล่าวก็นำมาใช้กับการห้ามล้อเล่นเกี่ยวกับซุนนะห์ ซึ่งเป็นแบบอย่างของนบีมุฮัมหมัด ซ.ล. ที่มักกระทำกันแพร่หลาย อย่างการล้อเล่นกับการไว้เคราและการคลุมฮิญาบ หรือการใส่เสื้อผ้าสั้นเต่อ<br /> ชัยค์มุฮัมหมัด อิบนุอุซัยมีน ร่อฮิมะฮุลลอฮฺ กล่าวไว้ในหนังสือ อัลมัญมูอ์ อัลซอมีน 1/63 ว่า“ความศักดิ์สิทธิ์ของพระผู้เป็นเจ้า ความเป็นนบี คุณลักษณะของอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูว่าต้าอาลา และศาสนาของพระองค์นั้น เป็นสิ่งที่ต้องให้ความเคารพ<br /> ดังนั้นจึงไม่อนุญาตให้ใครก็ตามไม่ให้ความเคารพในสิ่งเหล่านั่น ไม่ว่าจะเป็นการล้อเลียนให้ผู้อื่นตลก ขบขัน หรือทำให้เกิดความสนุกสนาน ใครก็ตามที่ทำเช่นนั้น เขาเป็นกาเฟร เนื่องจากสิ่งเหล่านี้แสดงถึงความไม่เคารพยำเกรงต่ออัลลอฮ และร่อซูลของพระองค์ รวมไปถึงอัลกุรอาน และกฎหมายจากพระองค์ ใครก็ตามที่มีการกระทำแบบนี้ ต้องเสียใจต่อความผิดที่ทำไป เนื่องจากเป็นลักษณะหนึ่งของการหลงผิด เขาจึงต้องเสียใจและขออภัยโทษจากอัลลอฮฺ และปรับปรุงรวมถึงพัฒนาตัวของเขาให้มีความยำเกรงอัลลอฮฺ ให้ความเคารพต่ออัลลอฮฺ และรักอัลลอฮฺ สุดหัวใจ และอัลลอฮฺนั้นคือผู้ทำงอำนาจสูงสุด”<br />มิได้ครับ หากข้อมูลที่ถูกนำเสนอนี้ มันจะสร้างความหนักใจ และคิดว่านั่นคือความยากของการเป็นมุสลิมหรือเปล่า นั่นคือสิ่งที่เราคิดว่าคนนำเสนอเค้าคิดมากไปไหม หรือนั่นคือเป็นสิ่งที่ต้องพิจารณาถึงเจตนาที่แท้จริงหรือเปล่า มิได้นะ เพราะหลักการศาสนาได้ให้ข้อแนะนำและเตือนไว้สำหรับผู้ศรัทธามาก่อนแล้ว ในสิ่งที่เค้าต้องพูดอย่างระมัดระวังในถ้อยคำนั้นๆ<br /> ฉะนั้นแล้ว ก็คงต้องขอเตือนตัวกระผมเอง และพี่น้องเองให้พินิจพิจารณาและมีความระมัดระวังในการใช้คำพูด ประโยคใด ประโยคหนึ่งและการกล่าวถ้อยคำใดหนึ่งออกมาสักนิดนึง หากคำพูดของเรามันอาจจะไม่ก่อประโยชน์อะไรและอาจจะก่อให้เกิดความเสียหายตามมา ก็ควรจะละไว้ เพื่อความปลอดภัยและความสมบูรณ์ของความเป็นมุสลิมอยู่ และตรวจสอบกันสักนิดว่า วันนี้!!ประโยคไหน ถ้อยคำใดที่เราพูดนั้นมันเสี่ยงต่อการเป็นผู้ปฏิเสธศรัทธาแล้วหรือเปล่า?? ก็ตรวจสอบกันดูนะครับ อินชาอัลลอฮ<br />อย่าให้ความตลกโปกฮา ความที่เรานั้นเป็นคนที่สนุกสนาน ขี้เล่น ขบขัน ร่าเริงอยู่บ่อยๆ หรือเป็นคนที่ชอบพูดมากทั้งเป็นงานหรือไม่เป็นงาน มันมาสร้างความเสียอิสลามให้แก่เรา เพียงแค่ว่าเรานั้นจะพูดเพื่อให้ผู้อื่นนั้นหัวเราะ เพียงแค่พูดเพื่อให้ตัวเองนั้นเกิดความซะใจที่ได้ว่าเค้าเคร่งกว่าเรา เค้าดีกว่าเรา หรือเพียงแค่พูดเพื่อเอาฮาเลยนะ มันไม่คุ้มกันเลยพี่น้องครับ<br />ตักเตือนตัวเราเองและเพื่อนๆสมาชิกในครอบครัว และคนใกล้ชิดญาติสนิทกันด้วย และขอแนะนำคำสอนจากท่านท่านร่อซูลุลลอฮฺ ไว้ดังนี้ว่า<br /> ท่านร่อซูลุลลอฮฺ สั่งให้พวกเราระมัดระวังลิ้นของเรา ในหะดิษอื่นๆอีกเช่น จากอุกบะห์ อิบนุ อามิร รอดิยัลลอฮฮุอันฮู กล่าวว่า ฉันกล่าวว่า โอ้ท่านท่านร่อซูลุลลอฮฺ อะไรคือสิ่งที่จะช่วยเหลือให้พ้นจากบาป? ท่านร่อซูลุลลอฮฺ ตอบว่า"ระมัดระวังลิ้นของท่าน ให้ท่านรู้สึกในความกว้างขวางขณะอยู่ในบ้าน (มากกว่าอยู่นอกบ้าน)และเสียใจในบาปที่ได้ทำไป"หะดิษศอเฮี้ยะ โดยอัลบานียฺ ในศอเฮี้ยะอัลตัรฆีบ 3331 บันทึกโดยติรมีซีย์(2046)<br />บางทีการที่เราเป็นคนที่ชอบอารมณ์ตลกขบขัน การหัวเราะมากก็ทำให้หัวใจตายด้านได้นะ<br /> ดั่งท่านร่อซูลุลลอฮฺ กล่าวว่า "อย่าหัวเราะมาก การหัวเราะมากเกินไปทำให้หัวใจตายด้าน"(ศอเฮี้ยะอัลญามิอ์ 7312)และท่านอุมัร อิบนุ ค๊อฎฎ๊อบ รอดิยัลลอฮฮุอันฮู กล่าวว่า "ใครก็ตามที่หัวเราะมาก หรือทำสิ่งที่ตลกขบขันมากไป ทำให้ความยำเกรงสูญเสีย และใครก็ตามที่ยังคงยืนกรานทำสิ่งเหล่านั้น หลังจากที่เขาเคยได้รับความเคารพนับถือ และทำให้อัปยศอดสู หลังจากได้รับการยกย่อง<br />อารมณ์ดีได้ ในกรอบอิสลาม<br />ขำได้ ในกรอบอิสลาม<br />แน่นอนปลอดภัยจากการหลุดกรอบอิสลามนะ... วัลลอฮฮุอะลัม<br />والسلام عليكم ورحمة الله وبركاته<br />---------------------<br />อ้างอิงหลักฐานจาก หนังสือ สารพัดปากคู่มือคำพูดที่ดี<br />คลิกอ่าน <a href="http://www.baanmuslimah.com/dp57/node/545" target="_blank">http://www.baanmuslimah.com/dp57/node/545</a><br />และเยี่ยมชม <a href="http://shabab00.wordpress.com/" target="_blank">http://shabab00.wordpress.com/</a>DORKPLAhttp://www.blogger.com/profile/03890331456990457900noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-63833486415872091.post-22077523563350185832009-06-01T07:19:00.000-07:002009-06-01T07:23:10.003-07:00ความมหัศจรรย์ของภูเขา<a name="_Toc45732515"><span style="font-family:arial;font-size:180%;color:#ff0000;">หน้าที่ของภูเขา</span></a><br /><span style="font-family:arial;color:#3333ff;">The Function of Mountains<br />อัลกุรอานได้กล่าวไว้เกี่ยวกับคุณสมบัติทางด้านธรณีวิทยาที่สำคัญของภูเขาดังซูเราะฮ์อัลอัมบิยาอ :<br /><br />“และเราได้ทำให้เทือกเขามั่นคงในแผ่นดิน เพื่อมันจะมิได้เคลื่อนไหวภายใต้พวกเขา…”<br />(อัลกุรอาน 21:31)<br /><br />ภูเขามีรากฝังลึกลงไปในพื้นผิวดิน (Earth Press and Siever , p 413 )<br /><br />ภาพตัดของภูเขาแสดงให้เห็นถึงลักษณะเหมือนหมุดฝังลึกลงไปในพื้นดิน (Anatomy of the Earth , Cailleux , p 220)<br /><br />ภาพแสดงว่าภูเขามีลักษณะเหมือนหมุด จากการที่รากฝังลึกลงไปในพื้นดิน ( Earth Science ,Tarbuck and Lutgens , p 158 )<br /><br /><br />ดังที่ปรากฏในอายะฮ์ข้างต้นว่า ภูเขามีหน้าที่ในการป้องกันการสั่นไหวของแผ่นดิน<br />ความรู้ทางธรณีวิทยาที่เพิ่งค้นพบเมื่อไม่นานมานี้ เป็นข้อเท็จจริงที่ยังไม่มีผู้ใดรู้ในขณะที่อัลกุรอานประทานลงมา<br />จากการค้นพบว่าภูเขาเกิดจากการเคลื่อนที่เข้าปะทะกันของแผ่นทวีปขนาดใหญ่ที่กลายเป็นผิวโลก แผ่นที่แข็งกว่าจะแทรกเข้าไปใต้อีกแผ่นหนึ่ง ชั้นที่อยู่ข้างบนจะมีการโค้งงอเกิดเป็นภูเขาขึ้น ชั้นที่อยู่ข้างใต้จะเป็นส่วนที่ลึกลงไปด้านล่าง นั่นหมายถึง จริงๆแล้วภูเขาที่เราเห็นว่าสูงตระหง่านเสียดฟ้านั้น มีส่วนที่ลึกลงไปใต้ดินพอๆกับส่วนที่เราเห็นบนผืนโลก<br />ข้อความทางวิทยาศาสตร์ได้อธิบายโครงสร้างของภูเขาไว้ดังนี้ :<br /><br />ลักษณะที่ภูเขาฝังลึกลงไปในพื้นดินและยื่นขึ้นเหนือพื้นโลก ทำให้มีคุณสมบัติเหมือนหมุดที่ยึดผิวโลกเข้าไว้ด้วยกัน เปลือกโลกประกอบด้วยส่วนที่ยังคงมีการเคลื่อนตัวอย่างสม่ำเสมอ การยึดติดของภูเขานี้ช่วยป้องกันการสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงของเปลือกโลก ซึ่งมีโครงสร้างที่เคลื่อนไหวได้<br /><br /><br /><br />“แผ่นทวีปส่วนที่หนากว่าได้แก่ส่วนที่เป็นเทือกเขานั้น เปลือกโลกชั้นนอกฝังลึกลงไปในเปลือกโลกชั้นใน” 4<br />อัลกุรอานได้เปรียบเทียบหน้าที่ของภูเขาเหมือนกับตะปูหมุด ดังซูเราะฮ์อันนะบะอ :<br /><br />“เรามิได้ทำให้แผ่นดินเป็นพื้นราบดอกหรือ และมิได้ให้เทือกเขาเป็นหลักตรึงไว้ดอกหรือ”<br />(อัลกุรอาน 78:6–7)<br /><br />กล่าวอีกอย่างหนึ่งได้ว่าภูเขาจะยึดชั้นหินใต้เปลือกโลกเข้าไว้ด้วยกันโดยมีจุดยึดทั้งด้านบนและด้านล่างของผิวโลก ทำให้เปลือกโลกไม่ไหวเลื่อน อาจเปรียบได้ว่าภูเขาเหมือนตะปูที่ตรึงแผ่นไม้เข้าไว้ด้วยกัน<br />ลักษณะการยึดของภูเขาในทางวิชาการเรียกว่า “ดุลเสมอภาคของเปลือกโลก” (Isostasy) ซึ่งมีความหมายว่า :<br />“เปลือกโลกรักษาภาวะสมดุลได้ ด้วยการเคลื่อนไหวเป็นครั้งคราวของหินใต้เปลือกโลก” 5<br />หน้าที่สำคัญของภูเขาที่ค้นพบจากความรู้ด้านธรณีวิทยา ซึ่งเป็นตัวอย่างการสร้างสรรค์อันยิ่งใหญ่ของพระผู้เป็นเจ้า มีกล่าวไว้ในอัลกุรอานมาก่อนหน้าแล้ว ดังซูเราะฮ์อัลอัมบิยาอ.<br /><br />“ และเราได้ทำให้เทือกเขามั่นคงในแผ่นดิน เพื่อมันจะมิได้หวั่นไหวไปกับพวกเขา<br />และเราได้ทำให้หุบเขาเป็นทางกว้างในแผ่นดินนั้น เพื่อว่าพวกเขาได้ใช้เป็นทางเดินอย่างถูกต้อง ”<br /> (อัลกุรอาน 21:31)<br /><br /></span><a name="_Toc45732516"><span style="font-family:arial;color:#3333ff;">การเคลื่อนไหวของภูเขา</span></a><br /><span style="font-family:arial;color:#3333ff;">The Movement of Mountains<br />จากอายะฮ์หนึ่งในซูเราะฮ์ อันนัม ทำให้เราได้รู้ว่า ภูเขาที่เราเห็นเหมือนว่ามิได้เคลื่อนไหวใดๆ แท้จริงแล้ว ภูเขานั้นเคลื่อนไหวอยู่เสมอ<br /><br />“และเจ้าจะเห็นขุนเขาทั้งหลาย เจ้าจะคิดว่ามันติดแน่นอยู่กับที่ แต่มันล่องลอยไป<br />เช่นการล่องลอยของเมฆ นั่นคือการงานของอัลลอฮ์ซึ่งพระองค์ผู้ทำทุกสิ่งทุกอย่างเรียบร้อย<br />แท้จริงพระองค์เป็นผู้ทรงตระหนักในสิ่งที่พวกเจ้ากระทำ”<br />(อัลกุรอาน 27:88)<br /><br />การเคลื่อนไหวของภูเขาเกิดจากการเคลื่อนตัวของเปลือกโลกชั้นนอกที่อยู่เหนือเปลือกโลกชั้นในที่หนาแน่นกว่า<br />ในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 นักวิทยาศาสตร์ชาวเยอรมันที่ชื่อ อัลเฟรด เวเกเนอร์ (Alfred Wegener) เสนอสมมุติฐานเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ว่า ทวีปต่างๆนั้น แต่เดิมเป็นผืนเดียวกัน ต่อมาได้เคลื่อนตัวแยกออกจากกัน นักธรณีวิทยาเพิ่งเข้าใจและยอมรับทฤษฎีนี้ในทศวรรษ 1980 ซึ่งเป็นเวลากว่า 50 ปี หลังจากที่เวเกเนอร์เสียชีวิตไปแล้ว เวเกเนอร์อธิบายไว้ในบทความที่ตีพิมพ์ในปี 1915 ว่า เมื่อประมาณ 500 ล้านปีก่อน พื้นโลกปัจจุบันซึ่งเป็นทวีปต่างๆ ยังเป็นผืนเดียวกัน อยู่บริเวณขั้วโลกใต้ เรียกว่า ปันเจีย (Pangaea)<br />ประมาณ 180 ล้านปีก่อน ปันเจียแยกออกเป็นสองส่วนและ เคลื่อนออกจากกัน ส่วนหนึ่งเรียกว่า กอนด์วานา (Gondwana) ประกอบด้วยทวีปแอฟริกา ออสเตรเลีย แอนตาร์กติกา และอินเดีย และอีกส่วนหนึ่งเรียกว่า ลอเรเซีย (Laurasia) ประกอบด้วยทวีปยุโรป อเมริกาเหนือและเอเชีย (ยกเว้นอินเดีย) อีก 150 ล้านปีต่อมา กอนด์วานาและลอเรเซียต่างก็แยกออกเป็นส่วนย่อยๆ<br />ทวีปต่างๆที่เกิดจากการแยกของปันเจียนั้น ปัจจุบันยังคงเคลื่อนตัวอยู่หลายเซ็นติเมตรต่อปีซึ่งทำให้สัดส่วนของผืนดินกับผืนน้ำบนโลกนี้เปลี่ยนไปด้วย<br />ต้นศตวรรษที่ 20 มีการศึกษาทางธรณีวิทยาและพบว่าการเคลื่อนที่ของเปลือกโลกเป็นดังนี้<br /><br />ภาพทางด้านซ้ายแสดงตำแหน่งของทวีปในอดีต ถ้าเราคาดเดาเอาว่าการเคลื่อนตัวของทวีปนั้น จะยังคงดำเนินไปในลักษณะนี้ ในอีกล้านปีข้างหน้า ตำแหน่งของมันจะอยู่ในลักษณะดังในภาพทางด้านขวา<br /><br />เปลือกโลกชั้นนอกกับส่วนบนสุดของเปลือกโลกชั้นใน ซึ่งหนาประมาณ 100 กิโลเมตร ถูกแบ่งออกเป็นส่วนเรียกว่า แผ่นทวีป (Plate) ประกอบด้วย 6 แผ่นทวีปใหญ่ และหลายแผ่นทวีปเล็ก ตามทฤษฎีการแปรโครงสร้าง แผ่นทวีปเหล่านี้จะเคลื่อนตัวจนทำให้ทวีปและพื้นมหาสมุทรเคลื่อนที่ไปด้วย การเคลื่อนตัวของทวีปวัดได้ประมาณ 1-5 เซนติเมตรต่อปี การเคลื่อนตัวของแผ่นทวีปนั้นทำให้ลักษณะทางภูมิศาสตร์ของโลกเปลี่ยนแปลงไปอย่างช้าๆ เช่น มหาสมุทร แอตแลนติค จะกว้างออกเล็กน้อยในแต่ละปี 6<br />ประเด็นสำคัญมากที่จะกล่าวถึงในที่นี้ก็คือ อัลลอฮ์ได้ตรัสเรื่องการเคลื่อนไหวของภูเขานี้ไว้ในอายะฮ์กุรอานแล้ว ในปัจจุบัน นักวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ได้ใช้คำว่า การเลื่อนของทวีป (Continental Drift) เพื่อแสดงถึงการเคลื่อนไหวเหล่านั้น 7<br />เป็นที่แน่ชัดแล้วว่านี่คือ ความมหัศจรรย์ประการหนึ่งของอัลกุรอาน ที่ได้เปิดเผยข้อเท็จจริงที่วิทยาศาสตร์เพิ่งค้นพบ </span>DORKPLAhttp://www.blogger.com/profile/03890331456990457900noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-63833486415872091.post-44261470905740234412009-06-01T07:11:00.000-07:002009-06-01T07:13:01.697-07:00ลักษณะพิเศษของอูฐ<span style="font-family:arial;">สัตว์ที่ถูกระบุถึงในภัมภีร์อัลกุรอาน : 2.อูฐ (جَمَلٌ )<br /><br />โดย...อาลี เสือสมิง<br /> 2. อูฐ สัตว์แห่งท้องทะเลทราย ซึ่งชาวอาหรับรู้จักมักจี่เป็นอย่างดี พอๆ กับควายหรือกระบือสำหรับคนไทยที่เป็นชาวนา ในภาษาอาหรับเรียกอูฐเอาไว้หลายชื่อด้วยกัน อาทิเช่น ญ่าม่าลุน (جَمَلٌ ) คำนี้ฝรั่งเอาไปใช้ คือคำว่า Camel ทั้งนี้ชาวอาหรับท้องถิ่นบางเหล่าออกเสียงคำ “ญ่าม่าลุน” หรือ “ญ่ามั๊ลฺ” ว่า “ฆ่ามั้ล” พอฝรั่งมาพบสัตว์แห่งท้องทะเลทรายที่ผูกพันกับชาวอาหรับก็เลยเรียกเพี้ยนเป็น “ฆ่าเม็ล” (Camel) ในดินแดนยุโรปอันเป็นนิวาสถานของพวกฝรั่ง ไม่มีสัตว์ชนิดนี้ จึงเรียกชื่อของมันอย่างชาวอาหรับ <br /> บางคนอาจจะตั้งข้อสังเกตว่า ในทวีปออสเตรเลียซึ่งฝรั่งอังกฤษไปตั้งรกรากอยู่ก็เห็นมีฟาร์มอูฐ จะบอกว่า ฝรั่งไม่รู้จักอูฐได้อย่างไร จริงๆ แล้วฝรั่งรู้จักอูฐจากชาวอาหรับมาก่อนหน้าการค้นพบทวีปออสเตรเลีย แต่ภายหลังก็มีฝรั่งหัวใสขนเอาอูฐไปลองเลี้ยงในทะเลทรายของออสเตรเลีย ซึ่งได้ผลดี<br /> ในคัมภีร์อัลกุรอานกล่าวถึง อูฐ ด้วย คำว่า ญ่ามาลุน เอาไว้ 2 ที่ด้วยกัน ที่หนึ่ง มาในรูปคำนามบ่งประเภท (اسْمُ جِنْسٍ ) ปรากฏอยู่ในบท อัลอะอฺรอฟ อายะฮฺที่ 40 ความว่า “แท้จริงบรรดาผู้ปฏิเสธโองการต่างๆ ของเรา และได้แสดงความโอหังต่อโองการเหล่านั้น บรรดาประตูแห่งฟากฟ้าจะไม่ถูกเปิดให้แก่พวกเขา และพวกเขาจะไม่ได้เข้าสวรรค์ จนกว่าอูฐจะลอดเข้าไปในรูเข็มได้ และในทำนองนั้นแหล่ะ เราจะตอบแทนลงโทษแก่ผู้กระทำความผิด” <br /> สำนวนในอายะฮฺนี้เป็นการอุปมาอุปมัยว่า การที่พวกปฏิเสธจะได้เข้าสวรรค์นั้นเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ ไม่ว่ากรณีใดก็ตาม เพราะรูเข็มนั้นเล็กกระจิดริด และอูฐก็เป็นสัตว์สี่เท้าขนาดใหญ่ การที่อูฐจะลอดรูเข็มจึงเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ตามหลักของเหตุผลและตรรกะ สำนวนเช่นนี้ยังเป็นที่นิยมใช้กันทั่วไปในความหมายว่า ไม่มีทาง, โดยสิ้นเชิง หรือหมดสิทธิ์อีกด้วย<br /> ที่สอง มาในรูปคำนามพหูพจน์ (جَمْعٌ ) ปรากฏอยู่ในบท อัลมุรซ่าลาต อายะฮฺที่ 33 กล่าวถึงไฟนรกญะฮันนัมว่า มันจะพ่นความร้อนออกมาเป็นประกายไฟที่มีขนาดใหญ่เท่าป้อมปราการ คือ ประกายไฟหรือสะเก็ดไฟแต่ละอันที่ปะทุออกมาจากนรกญะฮันนัมนั้น มีขนาดใหญ่โตมโหฬารเท่ากับป้อมปราการหรือปราสาท และความรวดเร็วของปะทุไฟตลอดจนสีสันของมันมีลักษณะคล้ายกับฝูงอูฐสีเหลืองเข้มก็มิปาน ก็ลองจินตนาการดูเอาเองเถิดว่า ขนาดสะเก็ดไฟของนรกญะฮันนัมที่ปะทุออกมายังมีความเขื่องและน่าสะพรึงกลัวขนาดนี้ และนรกญะฮันนัมโดยรวมจะน่าสะพรึงกลัวขนาดไหน บอกได้เลยว่าเกินจินตนาการและสุดจะบรรยาย ดังนั้นคำว่า “อูฐ” ในอายะฮฺแรกและ “ฝูงอูฐสีเหลืองเข้ม” ในอายะฮฺที่ สอง จึงเป็นอูฐที่ถูกหยิบยกมาเป็นอุปมาอุปมัย<br /> นอกจากคำว่า ญ่ามาลุน (جَمَلٌ ) ในอัลกุรอานยังได้ใช้คำว่า อี้บิ้ล (إِبِلٌ ) โดยระบุไว้ในบท อัลอันอาม อายะห์ที่ 144 และบทอัลฆอชิยะฮฺ อายะห์ที่ 17 ซึ่งมีความว่า “พวกเขาไม่พิจารณาดูอูฐดอกหรือว่า มันถูกบังเกิดมาอย่างไร” อูฐเป็นสัตว์ที่ชาวอาหรับรู้จักและคุ้นเคยกับมันเป็นอย่างดี เรียกได้ว่า อาหรับกับอูฐเป็นของคู่กัน ลองมารู้จักอูฐกันสักหน่อย อูฐ เป็นชื่อสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ในวงศ์ Camelidae หัว คอ และขาทั้ง 4 ยาว มีนิ้วตีนข้างละ 2 นิ้ว กระเพาะมี 3 ส่วน ไม่มีถุงน้ำดี มี 2 ชนิด คือ ชนิด 2 หนอก (Camelus bactrianus) มีในประเทศจีน ปากีสถาน และอัฟกานิสถาน เข้าใจว่าแหล่งกำเนิดของอูฐชนิดนี้อยู่ที่เมืองบัคเตรีย หรือ บะลัค อยู่ในอัฟกานิสถาน เป็นเมืองชุมทางการค้าในเส้นทางสายไหมยุคโบราณ <br /><br /> อีกชนิดหนึ่งคือ ชนิดหนอกเดียว (C.dromedarius) มีมากในแถบประเทศอาหรับและทวีปแอฟริกาตอนเหนือ คำว่า อูฐ เป็นภาษาประกฤติ (โอฏฐ) บ้างก็ว่าเป็นศัพท์มาจากฮินดี ว่า อูนต์ นักเดินทางสมัยก่อนเชื่อว่า ขณะที่อยู่ในทะเลทรายและต้องการน้ำดื่ม สามารถฆ่าอูฐและนำน้ำจากกระเพาะอาหารของอูฐมาดื่มได้ โดยทางทฤษฎีแล้ว วิธีการดังกล่าวก็น่าจะเป็นไปได้ ทว่าปริมาณน้ำที่เก็บสะสมไว้ในกระเพาะ ก็มีไม่มากพอที่จะทำให้อูฐสามารถเดินทางในทะเลทรายได้ไกลๆ โดยไม่ต้องดื่มน้ำเลย<br /> ส่วนโหนกหรือหนอกบนหลังอูฐนั้น ไม่ใช่ถังเก็บน้ำอย่างที่หลายคนเข้าใจ อวัยวะส่วนนี้จะเต็มไปด้วยไขมันต่างหาก เมื่ออูฐไม่สามารถเก็บน้ำไว้ในร่างกายได้มาก ๆ พระผู้เป็นเจ้าจึงได้ทรงสร้างร่างกายของอูฐให้มีกลไกบางอย่างที่ช่วยประหยัดน้ำให้ได้มากที่สุด นั่นคือ<br /> 1. โดยทั่วๆ ไป อุณหภูมิร่างกายคนเราจะไม่สูงเกินกว่า 37 องศาเซลเซียสได้มากนัก เมื่ออุณหภูมิสูงกว่าเกณฑ์ ร่างกายจะขับเหงื่อออกมาเพื่อให้อุณหภูมิของร่างกายลดลง แต่อูฐจะรับความร้อนได้ถึง 41 องศาเซลเซียส ซึ่งเป็นอุณหภูมิทั่วไป ในท้องทะเลทรายที่ร้อนระอุ เหงื่อของอูฐถึงจะหลั่งออกมา ดังนั้นอูฐจึงรักษาน้ำเอาไว้ในร่างกายได้มาก เพราะใช่ว่าอุณหภูมิในท้องทะเลทรายจะสูงเกิน 41 องศาเซลเซียส อยู่ตลอดเวลาเสียเมื่อไหร่<br /> 2. ขนอูฐสามารถกันความร้อนภายนอกได้ แต่ขนอูฐจะไม่หนาหรือยาวเกินความจำเป็น มิฉะนั้นเหงื่อซึ่งระบายออกจากร่างกายจะไม่สามารถระเหยได้<br /> 3. ระบบสรีระของอูฐสามารถทนทานต่อการสูญเสียน้ำในร่างกายได้ดี สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมตัวอื่นจะตายทันทีเมื่อร่างกายสูญเสียน้ำเพียงร้อยละ 20 แต่อูฐสามารถทนอยู่ได้ แม้ร่างกายจะสูญเสียน้ำถึง ร้อยละ 40<br /> 4. อูฐดื่มน้ำได้ครั้งละมากๆ อูฐบางตัวดื่มน้ำในปริมาณเกือบ 1 ใน 3 ของน้ำหนักตัวภายใน 10 นาที จากเหตุผลที่ว่ามา ทำให้อูฐสามารถเดินทางไกลในทะเลทรายได้โดยไม่ต้องดื่มน้ำบ่อยๆ อูฐวิ่งได้เร็วกว่าชั่วโมงละ 16 กิโลเมตร เร็วพอๆ กับแกะ ในขณะที่คนวิ่งเร็วที่สุดเพียง 32 กิโลเมตรต่อชั่วโมง <br /> อย่างไรก็ตาม อูฐเป็นสัตว์บกที่สามารถกินน้ำได้ครั้งละหลายสิบลิตรและอดน้ำได้หลายวันติดต่อกัน และเนื่องจากมนุษย์เรานิยมใช้อูฐเป็นพาหนะเดินทางไปในทะเลทรายซึ่งร้อนและแห้งแล้ง ทำให้อูฐต้องปรับตัวเองให้เข้ากับสภาพแวดล้อม อันเป็นลักษณะพิเศษที่พระผู้เป็นเจ้าสร้างให้มันเป็นเช่นนั้น <br /> อูฐลดการสูญเสียน้ำออกจากร่างกายทุกๆ ทางดังที่กล่าวมา โดยเฉพาะทางปัสสาวะ จะทำให้น้ำปัสสาวะมีความเข้มข้นสูงกว่าน้ำเลือดได้ถึง 8 เท่า ในขณะที่มนุษย์สามารถทำได้เพียง 4 เท่า ด้วยเหตุผลนี้ทำให้ปัสสาวะอูฐมีปริมาณน้อย มีความเข้มข้นสูง และกักเก็บไว้นานกว่าจะถูกขับถ่ายออกมา ทำให้มีกลิ่นฉุนมาก กลิ่นฉุนนี้เกิดจากของเสียในร่างกายที่ถูกขับออกมาทางไต ออกมากับปัสสาวะเรียกว่า “ยูเรีย” สารยูเรียนี้เมื่อถูกกักเก็บไว้นานหรือมีแบคทีเรียเข้าไปทำปฏิกิริยาจะถูกเปลี่ยนเป็น “แอมโมเนีย” ซึ่งมีกลิ่นฉุนเช่นเดียวกับแอมโมเนียที่ใช้ดมแก้เป็นลมนั่นเอง<br /> เห็นมั้ยล่ะ ว่าเจ้าอูฐนี่เป็นสัตว์ที่มีอะไรพิเศษจริงๆ หากมนุษย์เราศึกษาเรื่องของอูฐอย่างจริงจัง ก็จะพบความน่าอัศจรรย์อีกเป็นอันมาก และความอัศจรรย์นั้นเป็นหลักฐานที่บ่งชี้ถึงพระปรีชาญาณในการสรรค์สร้างของพระผู้เป็นเจ้า พระผู้ทรงฤทธานุภาพนั่นเอง<br /> ในคัมภีร์อัลกุรอาน ปรากฏคำว่า อัลบุดนุ้ (اَلْبُدْنُ ) ซึ่งหมายถึง อูฐที่อ้วนพี มีร่างใหญ่ เนื้อมาก กล่าวไว้เพียงแห่งเดียวในบท อัลฮัจญ์ อายะห์ที่ 36 ความว่า “และอูฐที่อ้วนพีนั้น เราได้กำหนดมันสำหรับพวกเจ้าอันเป็นส่วนหนึ่งจากบรรดาเครื่องหมายของอัลลอฮฺ ในอูฐที่อ้วนพีนั้น คือ ความดีสำหรับพวกเจ้า”<br /> เหตุที่เรียกอูฐอ้วนพีว่า “บุดน์” (بُدْنٌ ) เพราะ มันมีร่างกายที่ใหญ่โตมีเนื้อมาก ถือเป็นสัตว์ใหญ่ที่มีอานิสงค์มากในการเชือดกุรบ่าน (قُرْبَانٌ ) หรือ อุฎฮี่ยะฮฺ (أُضْحِيَّةٌ ) ในช่วงพิธีฮัจญ์และการเชือดในช่วงวันอีดอัลอัฎฮา ที่ระบุว่า “มันมีความดีสำหรับพวกท่าน” นั้นหมายถึงเป็นประโยชน์ในการใช้สอย การใช้เป็นพาหนะในการเดินทาง การบริโภคหรือแม้กระทั่งห้องนอนเคลื่อนที่ ชาวอาหรับออกแบบกระโจมบนหลังอูฐ ซึ่งเรียกว่า เฮาดัจญ์ (هَوْدَجٌ ) เอาไว้หลากหลายสไตล์ แตกต่างกันไปตามท้องถิ่นทะเลทรายที่กว้างใหญ่ไพศาล อูฐเป็นเพื่อนคู่ทุกข์คู่ยากและเป็นเพื่อนตายสำหรับชาวอาหรับบะดะวี่ย์ (เบดูอิน) ประโยชน์ของมันในโลกนี้จึงมีมาก อีกทั้งประโยชน์ในโลกหน้าซึ่งเป็นผลานิสงค์ในการเชือดอูฐเป็นพลีทานก็มีมหาศาลเช่นกัน <br /> ชาวอาหรับถือว่าอูฐเปรียบเสมือน “เรือบก” ที่บรรทุกสัมภาระและสินค้าได้คราวละมากๆ มีความอึดเป็นยอด อูฐบางตัวสามารถอดน้ำได้ถึง 10 วัน เหตุที่คออูฐยาวคล้ายยีราฟนั้นก็เพื่อช่วยให้มันทรงตัวได้ขณะที่มันลุกขึ้นพร้อมกับสัมภาระอันหนักอึ้งบนหลัง อาหารของอูฐนั้นก็คือ พันธุ์พืชเกือบทุกชนิด ต้นไม้และหนามบางชนิดอูฐสามารถกินเป็นอาหารได้ ในขณะที่สัตว์ชนิดอื่นกินพืชเหล่านั้นไม่ได้ <br /> จริงๆ แล้วชาวอาหรับแบ่งชนิดของอูฐเอาไว้หลากหลายด้วยกัน อาทิเช่น “อัลอัรฮะบี่ยะห์” (اَلأَرْحَبِيَّةُ ) เป็นพันธุ์อูฐของเผ่าอัรฮับ ในเมืองฮะมะดาน บ้างก็บอกว่าอูฐพันธุ์นี้เป็นอูฐที่มีต้นกำเนิดจากเยเมน (ยะมัน) “อัชชัซฺก่อมี่ยะฮฺ” (اَلشَّذْقَمِيَّةُ ) เป็นอูฐของชาวอาหรับผู้หนึ่ง ชื่อ ชัซฺก็อม (شَذْقَمٌ ) อัลอีดี่ยะฮฺ (اَلْعِيْدِيَّةُ ) เป็นอูฐของเผ่าอีด “อัลมัจญ์ดี่ยะห์” (اَلْمَجْدِيَّةُ ) เป็นอูฐของเมืองเยเมนเช่นกัน ฯลฯ ชาวอาหรับบอกว่าอูฐเป็นสัตว์ขี้อิจฉาและอาฆาต ขณะที่อูฐหนุ่มพยศนั้นนิสัยของมันจะเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง เกรี้ยวกราด อาละวาด จนชาวอาหรับกระเจิดกระเจิงเลยทีเดียว ที่แปลกก็คือ อูฐจะไม่ผสมพันธุ์กับแม่ของมัน มีเรื่องเล่ากันมาว่า ในสมัยโบราณมีชายผู้หนึ่งเอาผ้าคลุมแม่อูฐของตน แล้วส่งลูกอูฐเข้าไปหาแม่อูฐนั้น เมื่อลูกรู้ว่านั่นเป็นแม่อูฐของตน มันก็กัดลูกอัณฑะของตนจนขาดและหันมาเล่นงานชายผู้นั้นจนตาย นี่เป็นเรื่องเล่าที่เขาเล่ากันมา จริงเท็จประการใดก็มิอาจทราบได้<br /> ชาวอาหรับเรียกชื่ออูฐ (كُنْيَةٌ ) ว่า อบูอัยยู๊บ (أَبُوْاَيُّوْبَ ) และ อบูซอฟวาน (أَبُوْصَفْوَانَ ) เนื้ออูฐเป็นที่อนุมัติ (حَلاَلٌ ) ให้บริโภคได้โดยมีตัวบทจากอัลกุรอานและมติเห็นพ้องของปวงปราชญ์ (اَلاِجْمَاعُ ) ส่วนการที่ท่านศาสดายะอฺกู๊บ (เจคอบ) หรือ อิสรออีลถือว่าเนื้ออูฐและน้ำนมอูฐเป็นที่ต้องห้ามสำหรับตัวท่านนั้นเป็นไปตามการวินิจฉัยของท่านเอง ทั้งนี้เนื่องจากท่านศาสดายะอฺกู๊บ (อะลัยฮิซซลาม) ได้เคยอาศัยอยู่ในท้องถิ่นทุรกันดาร และมีอาการปวดเส้นที่บั้นเอวจนถึงหัวเข่าหรือข้อเท้า เรียกว่า โรคเหน็บชาคล้ายกับโรคเกาท์ (عِرْقُ النَّسَا ) ท่านเข้าใจว่า สาเหตุของอาการเจ็บป่วยดังกล่าว มาจากการบริโภคเนื้ออูฐและนมของมัน ท่านจึงถือว่า นั่นเป็นสิ่งต้องห้ามสำหรับตัวท่าน<br /> ในพระคัมภีร์อัลกุรอาน ได้ระบุถึงอูฐเพศเมียด้วยคำว่า อันนาเกาะฮฺ (اَلنَّاقَةُ ) 7 แห่งด้วยกัน ทั้งหมดเป็นเรื่องราวอูฐของท่านศาสดาซอและฮฺ (อะลัยฮิซซลาม) ที่พระองค์อัลลอฮฺ (ซ.บ) ได้ทรงสำแดงปาฏิหาริย์แก่กลุ่มชน ซะมู๊ด (ثَمُوْدُ ) พวกซะมู๊ดเป็นชนเผ่าอาหรับโบราณในยุคสมัยหลังพวกอ๊าด พวกซะมู๊ดอาศัยอยู่ในแคว้นอัลฮิจฺร์ (اَلْحِجْرُ ) ซึ่งตั้งอยู่ระหว่างแคว้นอัลฮิญาซฺกับเมืองตะบู๊ก คำว่า ซะมู๊ด เป็นนามชื่อของต้นตระกูลเผ่า เป็นพี่น้องกับญ่าดีซ ซึ่งทั้งสองเป็นบุตรของอาซิร บุตร อิรอม บุตร ซาม บุตรศาสดานัวฮฺ (อะลัยฮิซซลาม) พวกซะมู๊ดกราบไหว้รูปเคารพเหมือนพวกอ๊าด และมีความชำนาญในการสลักหินและภูเขาเป็นบ้านเรือน <br /> ท่านศาสดาซอและฮฺ (อะลัยฮิซซลาม) ได้เรียกร้องพวกซะมู๊ดซึ่งเป็นชนเผ่าเดียวกับท่านให้ละทิ้งการกราบไหว้รูปเคารพและหันมาศรัทธาต่อพระองค์อัลลอฮฺ (ซ.บ) เพียงพระองค์เดียว อยู่มาวันหนึ่งพวกซะมู๊ดมารวมตัวกันในสโมสรของพวกตน ท่านศาสดาซอและฮฺ (อะลัยฮิซซลาม) จึงได้มาหาพวกซะมู๊ดและได้เรียกร้องเชิญชวนพวกนั้นให้ศรัทธาต่ออัลลอฮฺ (ซ.บ) แต่พวกซะมู๊ดตั้งเงื่อนไขว่า ถ้าหากท่านศาสดาซอและฮฺทำให้อูฐตัวเมียซึ่งมีลักษณะอย่างนั้นอย่างนี้ออกมาจากก้อนหิน พวกตนถึงจะยอมศรัทธา <br /> ท่านศาสดาซอและฮฺจึงลุกขึ้นไปนมัสการและวิงวอนขอต่อพระองค์อัลลอฮฺ (ซ.บ) ให้สำแดงปาฏิหาริย์ (มัวอฺญิซาต) พระองค์อัลลอฮฺ (ซ.บ) จึงทรงบันดาลให้ก้อนหินนั้นแตกออกแล้วมีอูฐเพศเมียท้อง 10 เดือนขนาดใหญ่ออกมาจากก้อนหินนั้น เมื่อประจักษ์เห็นปาฏิหาริย์อันน่าอัศจรรย์นั้น พวกซะมู๊ดส่วนหนึ่งก็ศรัทธาต่อการเรียกร้องเชิญชวนของท่านศาสดาซอและฮฺ ในขณะที่พวกซะมู๊ดส่วนใหญ่ยังคงยืนกรานและปฏิเสธศรัทธาแต่ก็ยอมให้แม่อูฐนั้นมีชีวิตอยู่ท่ามกลางพวกเขา โดยแม่อูฐมีอิสระในการออกหากินในทุ่งหญ้าและแบ่งวันให้แม่อูฐได้ดื่มน้ำจากบ่อผลัดกับพวกซะมู๊ด <br /> ต่อมาพวกซะมู๊ดหมดความอดทนเพราะพวกตนเดือดร้อนจากการใช้บ่อน้ำที่ต้องยอมสละวันให้กับแม่อูฐ จึงรวมหัวกันคบคิดและสังหารแม่อูฐ ในการสังหารแม่อูฐนี้มีผู้ลงมือทั้งหมด 9 คน โดยมี กอดด๊าร บุตร ซาลิฟ บุตร ญุนดุอฺ เป็นผู้นำ กล่าวกันว่า บุคคลผู้นี้เป็นบุตรนอกสมรส (ลูกซินา) ชายทั้งหมดได้ซุ่มยิงแม่อูฐด้วยลูกธนูและตัดขาทั้ง 4 ข้างของแม่อูฐด้วยดาบ เมื่อพวกซะมู๊ดได้สังหารแม่อูฐแล้ว ท่านศาสดาซอและฮฺ (อะลัยฮิซซลาม) จึงได้บอกให้พวกซะมู๊ดทราบว่าภายในระยะเวลาหลังจากนี้อีกราว 3 วัน พวกเขาจะต้องถูกลงทัณฑ์อย่างสาสม <br /> ในเช้าวันพฤหัสฯ พวกซะมู๊ดตื่นมาด้วยใบหน้าซีดเซียวเป็นสีเหลือง พอถึงวันศุกร์ใบหน้าของพวกเขากลับกลายเป็นสีแดงจัด ครั้นพอถึงวันเสาร์ใบหน้าของพวกซะมู๊ดก็ดำคล้ำกันทุกคน ครั้นเมื่อถึงรุ่งสางของวันอาทิตย์ พวกซะมู๊ดก็ได้แต่รอคอยชะตากรรมของพวกตน ครั้นเมื่อดวงอาทิตย์ทอแสง ก็เกิดเสียงกัมปนาทมาจากเบื้องบน และแผ่นดินไหวสั่นสะเทือนมาจากเบื้องล่าง พวกซะมู๊ดทั้งหมดจึงตายอยู่ในบ้านช่องของพวกตนโดยกลายเป็นศพที่ไร้วิญญาณ <br /> นี่คือการลงทัณฑ์จากพระองค์อัลลอฮฺ (ซ.บ) ที่เกิดกับพวกซะมู๊ดที่ปฏิเสธศรัทธาและอาจหาญลงมือสังหารอูฐของพระองค์อันเป็นปาฏิหาริย์ของท่านศาสดาซอและฮฺ (อะลัยฮิซซลาม) ในคัมภีร์อัลกุรอานใช้สำนวนว่า “อูฐของพระองค์อัลลอฮฺ” (نَاقَةُاللهِ ) เป็นการอ้างอิงในเชิงบ่งบอกถึงความสำคัญของแม่อูฐ ซึ่งเป็นสัญญาณของพระองค์อัลลอฮฺ (ซ.บ) ที่ยืนยันความสัจจริงของท่านศาสดาซอและฮฺ (อะลัยฮิซซลาม) มีข้อมูลระบุว่า ชาวซะมู๊ดที่ศรัทธาต่อศาสดาซอและฮฺมีจำนวน 4 พันคน ทั้งหมดได้หลบหนีออกจากดินแดนของพวกตนไปยังแคว้น ฮัฎร่อเมาต์ พร้อมกับศาสดาซอและฮฺ ครั้งเมื่อทั้งหมดได้มาถึงฮัฎร่อเมาต์ ท่านศาสดาซอและฮฺก็เสียชีวิตลงที่นั่น ในภายหลังพวกซะมู๊ดที่เหลือจึงร่วมกันสร้างเมืองฮาฎู้ร ขึ้นที่นั่น เรื่องของอูฐก็เห็นจะต้องจบลงแต่เพียงเท่านี้ <br /> อ้อ ! ลืมบอกไปว่า อูฐที่มีขนสีแดงถือเป็นอูฐหายากสำหรับชาวอาหรับ มีค่าสูงมากเลยทีเดียว และท่านศาสดามุฮัมมัด (ศ้อลลัลลอฮูอะลัยฮิวะซัลลัม) มีอูฐเป็นสัตว์พาหนะของท่านอยู่หลายตัว เช่น อัลกอซวาอฺ (اَلْقَصْوَاءُ ) มีระบุว่าเป็นอูฐตัวที่ท่านใช้ขี่ในการอพยพ (ฮิจเราะฮฺ) อัลอัฎบาอฺ (اَلْعَضْبَاءُ ) และอัลญัดอาอฺ (اَلْجَدْعَاءُ ) อูฐที่ชื่อ “อัลอัฎบาอฺ” นั้นเป็นอูฐที่มีฝีเท้าจัด ไม่เคยแพ้อูฐตัวใดในการแข่งขัน แต่ต่อมาก็ต้องแพ้ให้กับอูฐของชาวอาหรับผู้หนึ่ง ทำให้บรรดาสาวกเกิดความไม่สบายใจ ท่านศาสดาจึงกล่าวว่า “เป็นสิทธิของพระองค์อัลลอฮฺ ที่พระองค์จะไม่ยกสิ่งใดจากโลกนี้ให้สูงส่ง นอกเสียจากพระองค์ได้ทรงให้สิ่งนั้นต่ำลง“ กล่าวคือ มีชนะก็ต้องมีแพ้ เป็นของธรรมดานั่นเอง </span>DORKPLAhttp://www.blogger.com/profile/03890331456990457900noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-63833486415872091.post-15237960610352835132009-05-31T19:05:00.000-07:002009-05-31T19:15:15.156-07:00ปรวัติราชวงศ์อุมัยยะฮ์<span style="font-family:courier new;"><span style="color:#ff0000;"> ราชวงศ์อุมัยยะฮ์ (The Umayyad Dynasty)</span>ครองราชย์ระหว่างปี ฮ.ศ. 41-132 / ค.ศ. 661-750ศูนย์กลางการปกครองที่ซีเรียปีครองราชย์ รายนามเคาะลีฟะฮ์ฮิจเราะฮ์ศักราช </span><br />41-60 661-680 มุอาวิยะห์ อิบนุ อบีสุฟยาน (มุอาวิยะห์ที่ 1)<br />60-64 680-683 ยะซีด ที่ 1<br />64-64 683-684 มุอาวิยะห์ ที่ 2<br />64-65 684-685 มัรวาน อิบนุ อัลหากัม (มัรวานที่ 1)<br />65-86 685-705 อับดุลมะลีก<br />86-96 705-715 อัลวะลีด ที่ 1<br />96-99 715-717 สุไลมาน<br />99-101 717-720 อุมัร อิบนุ อัลอะซีซ<br />101-105 720-724 ยะซีด ที่ 2<br />105-125 724-743 ฮิซาม<br />125-126 743-744 อัลวะลีดที่ 2<br />126-126 744-744 ยะซีดที่ 3<br />126-127 744-744 อิบรอฮีม<br />127-132 744-750 มัรวาน อิลหิมาร์ (มัรวานที่ 2)<br /><span style="font-family:courier new;"> การขึ้นมาของราชวงศ์อับบาสิยะฮ์ การเสียชีวิตของท่านอุษมาน อิบนุ อัฟฟาน เคาะลีฟะฮ์อัรรอชิดูนคนที่ 3 เป็นมูลเหตุของการขัดแย้งระหว่างท่านมุอาวิยะห์ข้าหลวงแห่งเมืองชาม (ซีเรีย) กับท่านอะลี อิบนุ อบีตอลิบเคาะลีฟะฮ์อัรรอชิดูนคนที่ 4 ท่านมุอาวิยะห์เป็นข้าหลวงแห่งเมืองชามตั้งแต่สมัยเคาะลีฟะฮ์ อุมัร อิบนุ อัลคอฎฎ็อบและดำรงตำแหน่งดังกล่าวเรื่อยมากว่า 20 ปี ท่านมีความสัมพันธ์ทางเครือญาติอย่างใกล้ชิดกับเคาะลีฟะฮ์อุษมาน อิบนุ อัฟฟาน และทั้งสองสืบเชื้อสายจากตระกูล อุมัยยะห์ บุตรของอับดุซซัม ซึ่งเป็นที่มาของคำว่า ?ราชวงศ์อุมัยยะฮ์? เมื่อเคาะลีฟะฮ์อุษมานถูกฆาตกรรมอย่างโหดร้ายโดยกลุ่มกบฏ พร้อมกับการขึ้นมาดำรงตำแหน่งเป็นเคาะลีฟะฮ์แทนของท่านอะลีโดยการสนับสนุนจากกลุ่มกบฏ ทำให้ท่านมุอาวิยะห์ปฏิเสธการให้สัตยาบันต่อท่านอะลี โดยกล่าวหาท่านอะลีว่ามีส่วนรู้เห็นในเหตุการณ์ฆาตกรรมเหล่านี้ ความขัดแย้งระหว่างท่านอะลีกับท่านมุอาวิยะห์เป็นมูลเหตุเกิดสงครามซิฟฟีนและมัจญ์ลิสตะห์กีมในเวลาต่อมาซึ่งมุสลิมสูญเสียเลือดเนื้อเป็นจำนวนมาก หลังจากมัจญ์ลิสตะห์กีมท่านอะลีถูกกลุ่มเคาะวาริจญ์ลอบสังหารเสียชีวิต บรรดาผู้ติดตามท่าน อะลีก็ได้แต่งตั้งท่านหะสัน บุตรของท่านอะลีขึ้นมาดำรงตำแหน่งเป็นเคาะลีฟะฮ์แทน ท่านหะสันดำรงตำแหน่งเคาะลีฟะฮ์ได้ไม่กี่เดือนก็ยอมสละตำแหน่งเคาะลีฟะฮ์ให้แท่ท่านมุอาวียะห์ ทั้งนี้เพื่อไม่ให้เกิดความแตกแยกและสูญเสียเลือดระหว่างชาวมุสลิมด้วยกันมากกว่านี้</span><br /><span style="font-family:courier new;"> เมื่อได้ขึ้นมาเป็นเคาะลีฟะฮ์แล้วท่านมุอาวิยะฮ์ก็ได้อุทิศตนให้แก่การทำให้อาณาจักรอิสลามผนึกเข้าเป็นปึกแผ่นเรียกร้องความสามัคคีในชาติ ซึ่งแตกสลายและไร้ความสงบสุขมาตั้งแต่ท่านเคาะลีฟะฮ์อุษมานถูกฆาตกรรม เมื่อตั้งตัวได้สำเร็จแล้วท่านมุอาวิยะฮ์เริ่มหาทางพิชิตดินแดนอื่นๆ สานต่อจากเคาะลีฟะฮ์ในอดีต โดยเฉพาะอย่างยิ่งการพิชิตแอฟริกาเหนือภายใต้การนำของแม่ทัพอุกบะฮ์ (Uqbah) ท่านอุกบะฮ์ได้ทำการต่อสู้กับชาวโรมันเป็นเวลานาน ในที่สุดก็เอาขณะชาวโรมันได้และได้เข้าครองแอฟริกาเหนือพร้อมกับสร้างเมืองก็อยรอวาน (Qairawan) ขึ้นทางใต้ของตูนิสเมื่อปี ฮ.ศ.50 นอกจากนี้ท่านมุอาวิยะฮ์ได้ขยายดินแดนไปทางทิศตะวันออกอย่างกว้างขวาง เมืองเฮรัต (Herat) ซึ่งแข็งข้อขึ้นก็ถูกตีได้เมื่อปี ฮ.ศ. 41 อีกสองปีต่อมาก็พิชิตเมืองกาบูลได้ ส่วนเมืองฆอซนา (Ghasna) เมืองบัลค์ (Balkh) กอนดาฮาร (Qandahar) บุคอรอ (Bukhara) สมรขันฑ์ (Samarkand) และเมืองติรมิดก็ถูกผนวกเข้าเป็นรัฐอิสลามในสมัยของเคาะลีฟะฮ์มุอาวิยะฮ์ อาณาจักรอิสลามไม่เพียงแต่รวมกำลังอย่างมั่นคงเท่านั้น แต่ยังขยายอาณาเขตการปกครองออกไปอย่างกว้างขวางอีกด้วย </span><br /><span style="font-family:courier new;"> ท่านมุอาวิยะฮ์เป็นผู้บริหารที่ดี ทรงเป็นท่านแรกที่จัดตั้งกรมสารบรรณ (Diwan al-Khatam) และกรมไปรษณีย์ขึ้น จัดตั้งกองกำลังตำรวจและกองทหารองครักษ์ ทรงแต่งตั้งเจ้าเมืองให้ทำการบริหารส่วนท้องถิ่นและแต่งตั้งเจ้าหน้าที่พิเศษให้เป็นผู้บริหารเงินรายได้ของแผ่นดิน ท่านมุอาวิยะฮ์เป็นท่านแรกที่ทรงเปลี่ยนสาธารณรัฐเป็นราชอาณาจักรอิสลามและเป็นท่านแรกที่สร้างตำแหน่งเคาะลีฟะฮ์โดยการสืบสันติวงศ์ขึ้นในประวัติศาสตร์อิสลาม ท่านทรงแต่งตั้งท่าน ยะซิดโอรสให้เป็นเคาะลีฟะฮ์ ต่อมาการแต่งตั้งแบบนี้ได้กลายเป็นตัวอย่างในการแต่งตั้งเคาะลีฟะฮ์ต่อมาตลอดราชวงศ์อุมัยะฮ์ทั้งราชวงศ์อับบาสียะฮ์และอื่นๆ อีกด้วย เมื่อท่านมุอาวิยะฮ์สิ้นชีพในปี ค.ศ. 680 ท่านยะซิดขึ้นมาเป็นเคาะลีฟะฮ์ การแต่งตั้งยะซิดเป็นเคาะลีฟะฮ์ย่อมมีกลุ่มที่คัดค้านและต่อต้านอย่างรุนแรง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการต่อต้านจากกลุ่มของอับดุลลอฮ์ อิบนุ ซุบัยรและกลุ่มของท่านหุสัยน์ อิบนุ อะลี ซึ่งนำไปสู่เหตุการณ์โศกนาฏกรรมกัรบาลาอ์ (Karbala?) ในวันที่ 10 เดือนมูหัรรอม ฮ.ศ. 61 ท่านหุสัยน์และพรรคพวกถูกสังหารอย่างโหดเหี้ยม เหตุการณ์กัรบาลาอ์ไม่เพียงแต่สะเทือนขวัญชาวมุสลิมเท่านั้น แต่ยังเป็นบาดแผลทางประวัติศาสตร์ระหว่างฝ่ายซุนนีย์และฝ่ายชีอะฮ์ที่ไปอาจลบความรู้นึกคิดที่เป็นปรปักษ์ต่อกันได้และดำเนินเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน </span><br /><span style="font-family:courier new;"> หลังจากยะซิดสิ้นพระชนม์มุอาวิยะฮ์ที่ 2 โอรสของยะซิดได้ขึ้นมาเป็นเคาะลีฟะฮ์ต่อ แต่อยู่ในตำแหน่งได้ไม่นานก็สละตำแหน่งและสิ้นชีวิตไปในเวลาต่อมา ท่านมุอาวิยะฮ์ที่ 2 ไม่มีโอรสและไม่ได้แต่งตั้งใครเป็นรัชทายาท ฝ่ายราชสำนักจึงแต่งตั้งท่านมัรวาน อิบนุ อิลหากัม เป็นเคาะลีฟะฮ์ท่านที่ 4 แห่งราชวงศ์อุบัยยะฮ์ ท่านมัรวานครองราชย์อยู่ได้ไม่ถึงปีก็สิ้นพระชนม์และได้ทรงแต่งตั้งโอรสชื่ออับดุลมาลิกเป็นเคาะลีฟะฮ์ต่อไป เมื่ออับดุลมาลิก (ค.ศ. 685 ? 705) สามารถปราบปรามกลุ่มที่เป็นปรปักษ์ต่อตนเองได้เสร็จสิ้นแล้ว ท่านได้เริ่มงานบูรณะความเป็นระเบียบภายในราชอาณาจักรอิสลาม พระองค์ได้ทำการปฏิรูปและนำเอามาตรการการบริหารแผ่นดินใหม่ๆ มาใช้ ท่านทรงปฏิรูปเหรียญอาหรับใหม่ ทั้งเหรียญเงินและเหรียญทองแดง ซึ่งมีชื่อว่าดินาร์ ดิรฮัมและฟอล นอกจากนี้ในรัชสมัยของพระองค์ได้มีการปฏิรูปภาษาอาหรับโดยการนำเอาสระและเครื่องหมายจุดใส่ลงในตัวอักษรอย่างที่เห็นอยู่ ในปัจจุบันนี้ ในด้านสถาปัตยกรรม พระองค์ทรงเป็นผู้สร้างโดมออฟเดอะร็อค (Dome of the Rock) ซึ่งเป็นมัสยิดที่สวยงามและมีชื่อเสียงมากในกรุงเยรูซาเล็ม เคาะลีฟะฮ์อับดุลมาลิกสิ้นพระชนม์ในปี ค.ศ. 705 หลังจากครองราชย์ได้ 21 ปี </span><br /><span style="font-family:courier new;"> เมื่ออับดุลมาลิกสิ้นพระชนม์ วะลีดที่ 1 ซึ่งเป็นโอรสก็ขึ้นครองราชย์ในดามัสกัส ท่านวะลีดที่ 1 นับเป็นเคาะลีฟะฮ์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดท่านหนึ่งของโลกมุสลิม ในรัชสมัยของพระองค์ (ค.ศ. 705?715) อาณาจักรอิสลามมีความเจริญรุ่งเรืองทั้งในและนอกประเทศ ท่านทรงปราบปรามการแข็งข้อของพวกชีอะฮ์และคอวาริจญ์จนราบคาบลง ราชอาณาจักรเต็มไปด้วยความสงบสันติ ทรงขยายอาณาจักรอิสลามออกไปอย่างกว้างขวาง เมืองบุคอรอ สมรขันฑ์ เมืองสินธ์ เอเชียกลางทั้งหมด แอฟริกาและสเปนต่างก็ตกอยู่ภายใต้การครอบครองของอาณาจักรอิสลาม อาณาจักรของท่านขยายจากชายแดนจีนไปจนถึงอ่าวบิสเคย (Biscay) และจากทะเลโอรอล (Oral Sea) ไปจนถึงเขตแดนกุจญ์ราตและบอมเบย์ในอินเดีย พระองค์ทรงสร้างโรงเรียนและโรงพยาบาล จัดหาเงินช่วยเหลือคนชราและคนพิการ จัดให้มีโรงพยาบาลคนตาบอดโดยเฉพาะ ในรัชสมัยของพระองค์ศิลปะและวัฒนธรรมเริ่มเจริญรุ่งเรือง พระองค์ทรงเป็นนักสร้างที่ยิ่งใหญ่ ทรงบูรณะและขยายมัสยิดแห่งมะดีนะฮ์และมัสยิดอัลอักซอในเยรูซาเล็ม พระองค์ทรงพัฒนาการค้าให้เจริญรุ่งเรืองและปลอดภัย นับได้ว่ารัชสมัยของเคาะลีฟะฮ์วะลีดที่ 1 ราชอาณาจักรอิสลามมีความสงบรุ่งเรืองและเจริญก้าวหน้ามากกว่าสมัยใดๆ ที่ผ่านมา เมื่อเคาะลีฟะฮ์วะลีดพี่ชายสิ้นชีพลง ท่านสุไลมานก็ขึ้นครองราชย์ พระองค์เป็นเคาะลีฟะฮ์ที่มีเมตตาต่อสหายแต่โหดร้ายต่อศัตรูมีชื่อเสียงในเรื่องฮาเร็มและการมีชีวิตอย่างหรูหรา ในรัชสมัยของพระองค์ ไม่มีอะไรที่เป็นคุณประโยชน์ที่โดดเด่นต่อราชอาณาจักรอิสลามมากนัก คุณประโยชน์อย่างเดียวที่ท่านทรงทำให้แก่รัฐอิสลามก็คือการแต่งตั้งให้ลูกพี่ลูกน้องของท่านที่ชื่อว่าอุมัร อิบนุ อัลอะซีซ เป็นเคาะลีฟะฮ์ ซึ่งเป็นเคาะลีฟะฮ์ที่ยิ่งใหญ่ท่านหนึ่งของอาณาจักรอิสลาม ท่านสุไลมาน สิ้นชีพหลังจากที่เป็นเคาะลีฟะฮ์ได้ 2 ปีกับอีก 5 เดือน </span><br /><span style="font-family:courier new;"> ท่านอุมัรอิบนุ อัลอะซีซ ขึ้นเป็นเคาะลีฟะฮ์ในปี ค.ศ. 717 ท่านเป็นอนุชาของอับดุลมาลิก บิดาของท่านเป็นผู้ปกครองอียิปต์มาเป็นเวลานานและมารดาของท่านเป็นหลานปู่ของเคาะลีฟะฮ์ อุมัร อิบนุ อัลค็อฏฏอบ ท่านเป็นเคาะลีฟะฮ์ที่เคร่งครัดในเรื่องศาสนาเป็นอย่างมาก ทรงบริหารอาณาจักรอิสลามอย่างยุติธรรมจนได้สมญานามว่า เคาะลีฟะฮ์อัรรอชิดูนคนที่ 5 ท่านพยายามจำกัดความไม่เสมอภาคระหว่างมุสลิมชาวอาหรับกับมุสลิมที่ไม่ใช่ชาวอาหรับ ทรงมีจิตใจเมตตาต่อผู้ที่ถูกกดขี่ มีความกรุณาปรานีต่อครอบครัวของท่านอะลี โดยสั่งเลิกการประณามท่านอะลีในการละหมาดร่วมในวันศุกร์ นอกจากนี้ท่านอุมัรได้ทรงแต่งตั้งบุคคลสำคัญๆ ขึ้นครองตำแหน่งสูงๆ โดยเลือกเอาผู้ที่เที่ยงธรรมและซื่อตรงเป็นสำคัญ ทั้งนี้เพื่อความสงบสุขแก่เหล่าประชาราษฎร์ที่อยู่ใต้ปกครอง พระองค์ทรงเห็นความสำคัญในการทนุบำรุงดินแดนที่ได้มาครอบครองแล้วให้เจริญรุ่งเรืองมากกว่าที่จะขยายอาณาเขตให้กว้างไกลออกไปอีก ผลงานที่สำคัญอีกประการหนึ่งของท่านอุมัรก็คือ การรวบรวมหะดีษอย่างเป็นทางการ ตลอดการปกครองของท่านอุมัรประชาชนในราชอาณาจักรอิสลามทั้งชาวมุสลิมและผู้ที่ไม่ใช่มุสลิมต่างก็มีความสุขและได้รับการปฏิบัติอย่างยุติธรรมกันทั่วหน้า </span><br /><span style="font-family:courier new;"> เมื่อท่านอุมัรสิ้นชีพลงยะชีดที่ 2 ก็ขึ้นครองราชย์ ในรัชสมัยของท่านยะชีดที่ 2 เกิดกลุ่มกบฏต่างๆ ที่ไม่พอใจในตัวเคาะลีฟะฮ์ ประชาชนได้รับความเดือดร้อนและประเทศกำลังตกอยู่ในภาวะวิกฤตในขณะเดียวกันเคาะลีฟะฮ์ไม่ค่อยสนใจในการบริหารประเทศมากนัก ระหว่างนั้นพวกอับบาสียะฮ์เริ่มมีอำนาจและแข็งข้อขึ้น ตอนแรกกระทำกันอย่างลับๆ แต่ต่อมาก็ทำอย่างเปิดเผยเพื่อโค่นล้มราชวงศ์อุมัยยะฮ์ลง ท่านฮิชามอนุชาของยะซีดที่ 2 ขึ้นครองราชย์ต่อจากท่านยะซีด ต้องเผชิญหน้ากับความยุ่งยากลำบากทั้งภายในและภายนอกประเทศ ในรัฐสมัยของท่าน การต่อสู้ระหว่างพวกอุมัยยะฮ์กับพวกอับบาสียะฮ์ดำเนินไปอย่างรุนแรง มีการก่อการจลาจลวุ่นวายทั่วราชอาณาจักร อย่างไรก็ตามท่านยังสามารถควบคุมสถานการณ์ได้ อาณาจักรมุสลิมแผ่ขยายออกไปกว้างใหญ่ไพศาล ในทวีปยุโรป ภาคใต้ของฝรั่งเศสและเกือบทั้งหมดของสเปนก็ตกอยู่ในความครอบครองของมุสลิม ในแอฟริกาตั้งแต่ช่องแคบยิบรอลตาไปจนถึงคอคอดสุเอซก็เป็นอาณาจักรมุสลิม และในทวีปเอเชียก็ตั้งแต่ทะเลทรายซีนายไปจนถึงทุ่งหญ้าแห่งมองโกเลีย เคาะลีฟะฮ์ฮิชามสิ้นชีพในปี ฮ.ศ. 743 ท่านทรงเป็นเคาะลีฟะฮ์สำคัญสุดท้ายของราชวงศ์อุมัยยะฮ์ ท่านทรงใช้จ่ายเงินรายได้ของแผนดินไปในการขุดคลองสร้างปราสาทและจัดสวน ทรงมีขันติธรรมต่อชาวคริสเตียน ทรงเป็นนักวิชาการและผู้อุปถัมภ์ศิลปะและวรรณกรรม แต่ท่านทรงมีข้อเสียอยู่คือ เป็นคนขี้ระแวงและโลภมาก จึงมีการเปลี่ยนผู้ปกครองแคว้นบ่อยครั้งเกินความจำเป็นและมีการเก็บภาษีเพิ่มขึ้นซึ่งทำให้ท่านไม่เป็นที่นิยมของประชาชน เมื่อฮิชามสิ้นชีพ วะลีดที่ 2 ขึ้นครองราชย์ ในตอนแรกท่านพยายามเอาชนะใจประชาชน โดยการเพิ่มเงินช่วยเหลือแก่คนยากจน คนชราและคนพิการแต่ความโหดร้ายที่พระองค์ทรงมีต่อครอบครัวท่านอะลีและบนีฮาชิมก็ทำให้ชื่อเสียงของท่านฉาวโฉ่ไปทั่วประเทศ พระองค์ปกครองได้ไม่ถึงปีก็ถูกท่านยะซีดที่ 3 โอรสของเคาะลีฟะฮ์วะลีดที่ 1 ก่อการกบฏและถูกสังหารเสียชีวิต เมื่อวะลีดที่ 2 สิ้นชีพท่านยะซีดที่ 3 ผู้ก่อการกบฏก็ขึ้นเป็นเคาะลีฟะฮ์ ท่านเป็นคนใจบุญและเคร่งศาสนา เมื่อครองราชย์ก็ได้สัญญาว่าจะปลดเปลื้องความเดือดร้อนของประชาชน จะลดภาษีและจะปราบปราบข้าราชการที่ทุจริตคดโกง แต่ท่านอยู่ในราชสมบัติไม่นานพอที่จะทำตามที่ทรงสัญญาไว้ได้ ท่านต้องผจญกับความยากลำบากนานาประการมาตั้งแต่ต้น มีการกบฏทั้งในปาเลสไตน์และแอฟริกา ท่านครองราชย์ได้แค่ 6 เดือนก็สิ้นพระชนม์ และท่านอิบรอฮีมอนุชาของยะซิดขึ้นเป็นเคาะลีฟะฮ์แทน แต่ได้รับการยอมรับจากคนเพียงบางส่วนเท่านั้น จนกระทั่งท่านมัรวานที่ 2 ก่อรัฐประหารยึดอำนาจ เคาะลีฟะฮ์มัรวาน ที่ 2 หรือมัรวานอัลหิมาร์ ได้ย้ายเมืองหลวงจากดามัสกัสไปอยู่ที่ฮัรรอน ซึ่งทำให้ชาวซีเรียไม่พอใจและรวบรวมกำลังขึ้นต่อต้านเคาะลีฟะฮ์ ท่านมัรวานต้องผจญกับความยากลำบากต่างๆ นานา มีการกบฏในปาเลสไตน์ พวกคอวาริจญ์ก็แข็งข้อขึ้น และพวกบานีฮาชิมก็แพร่ขยายตัวออกไปอย่างน่ากลัว เกิดความครุ่นแค้นคุกรุ่นขึ้นทั่วราชอาณาจักรอุมัยยะฮ์ กองทัพซีเรียก็อ่อนแอลง ฉะนั้นสมัยของมัรวานจึงเต็มไปด้วยการต่อสู้ จนกระทั่งในปี ค.ศ. 750 อบูมุสลิมซึ่งเป็นตัวแทนการเคลื่อนไหวของกลุ่มอับบาสีย์พร้อมกับพรรคพวกได้ก่อกบฎและยึดเมืองคูราซาน (Khurasan) ได้สำเร็จ พร้อมกับขับไล่นัศร์ อิบนุ สัยยาร ซึ่งเป็นข้าหลวงของเคาะลีฟะฮ์มัรวานที่ 2 ประจำแคว้นคูราซานออกจากพื้นที่ การก่อกบฏและยึดอำนาจได้ขยายไปเรื่อยๆ ยังแคว้นอื่นๆ จนกระทั่งเคาะลีฟะฮ์มัรวานที่ 2 ซึ่งเป็นเคาะลีฟะฮ์องค์สุดท้ายของราชวงค์อุมัยยะฮ์ถูกสังหารเสียชีวิต เมื่อกลุ่มอับบาสีย์ประสบความสำเร็จในการยึดอำนาจและโค่นล้มราชวงศ์อุมัยยะฮ์ พวกเขาได้พยายามประหัตประหารล้างเผ่าพันธุ์ทุกคนในตระกูลอุมัยยะฮ์ มีคนในตระกูลอะมะวีย์ไม่กี่คนที่สามารถหนีรอดจากเหตุการณ์ฆ่าล้างเผ่าพันธ์นี้ได้ ในบรรดาผู้ที่หนีรอดเหล่านั้นคือท่านอับดุลเราะหมาน ซึ่งเป็นหลานปู่ของเคาะลีฟะฮ์ฮิซามได้หนีเอาชีวิตรอดไปที่แอฟริกาเหนือและต่อมาได้สร้างราชวงศ์อุมัยยะฮ์ที่สเปนขึ้น</span>DORKPLAhttp://www.blogger.com/profile/03890331456990457900noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-63833486415872091.post-60555525646075653222009-05-24T20:02:00.000-07:002009-05-24T20:09:59.239-07:00ความยำเกรง<a href="http://deen2do.com/taqwa/">เมื่อเรายำเกรง</a><br />[9.119] โอ้ศรัทธาชนทั้งหลาย พึงยำเกรงอัลลอฮฺเถิด และจงอยู่ร่วมกับบรรดาผู้ที่พูดจริง<br />Nov 05<br /><a title="Permanent Link to ตักวา (ตอนที่ 3)" href="http://deen2do.com/taqwa/2007/11/05/taqwa3/" rel="bookmark">ตักวา (ตอนที่ 3)</a>Posted by: taqwa in <a title="View all posts in นะศีฮะฮฺ" href="http://deen2do.com/taqwa/category/%e0%b8%99%e0%b8%b0%e0%b8%a8%e0%b8%b5%e0%b8%ae%e0%b8%b0%e0%b8%ae%e0%b8%ba/" rel="category tag">นะศีฮะฮฺ</a> <a href="http://deen2do.com/taqwa/2007/11/05/taqwa3/#respond">Add comments</a><br /> <br />โดย .. Abulfarooq<br />ผลประโยชน์จากการตักวาในโลกดุนยา<br />1. การตักวา เป็นเหตุให้กิจการงานต่าง ๆ มีความง่ายดาย อัลเลาะฮ์ทรงตรัสความว่า "และผู้ใดตักวาต่ออัลลอฮ์ พระองค์จะทรงทำให้กิจการของเขาสะดวกง่ายดายแก่เขา" 65:4<br />2. การตักวา เป็นสาเหตุในการปกป้องโทษต่าง ๆ ของชัยฏอน อัลเลาะฮ์ทรงตรัสความว่า "แท้จริงบรรดาผู้ที่มีความตักวานั้น เมื่อมีคำชี้นำใด ๆ จากชัยฏอนประสบแก่พวกเขา พวกเขาก็รำลึกได้แล้วทันใดพวกเขาก็มองเห็น" 7:201<br />3. การตักวา เป็นเหตุให้ความจำเริญได้เปิดและเพิ่มพูนริสกีจากฟากฟ้าและแผ่นดิน อัลเลาะฮ์ทรงตรัสความว่า "และหากว่าชาวเมืองนั้นได้ศรัทธากันและมีความตักวาแล้วไซร้ แน่นอนเราก็เปิดให้แก่พวกเขาแล้ว ซึ่งบรรดาความเพิ่มพูนจากฟากฟ้าและแผ่นดิน" 7:96<br />4. การตักวา เป็นเหตุให้บ่าวได้รับทางนำในการจำแนกความจริงและความเท็จได้ อัลเลาะฮ์ทรงตรัสความว่า "บรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลาย! หากพวกเจ้ายำเกรงอัลลอฮ์ พระองค์ก็จงทรงให้มีแก่พวกเจ้าซึ่งสิ่งที่จำแนกความจริงและความเท็จ" 8:29<br />5. การตักวา เป็นเหตุทำให้รอดพ้นจากความยากลำบาก ได้รับริสกีและมีความสะดวกสบายสำหรับผู้ที่มีความตักวาอย่างไม่สามารถคำนวนได้ อัลเลาะฮ์ทรงตรัสความว่า "และผู้ใดมีความตักวาต่ออัลลอฮ์ พระองค์ก็จะทรงหาทางออกให้แก่เขาและจะทรงประทานปัจจัยยังชีพแก่เขาจากที่ที่เขามิได้คาดคิด และผู้ใดมอบหมายแด่อัลลอฮ์ พระองค์ก็จะทรงเป็นผู้พอเพียงแก่เขา แท้จริงอัลลอฮ์เป็นผู้ทรงบรรลุในกิจการของพระองค์ โดยแน่นอนสำหรับทุกสิ่งทุกอย่างนั้น อัลลอฮ์ทรงกำหนดกฎสภาวะไว้แล้ว" 65:2-3<br />6. การตักวา เป็นเหตุทำให้เขาเป็นคนรักของอัลเลาะฮ์ตาอาลา พระองค์ทรงตรัสความว่า "บรรดาผู้เป็นที่รักของอัลเลาะฮ์นั้น มิใช่ใครอื่น นอกจากบรรดาผู้มีความตักวา" 8:34<br />7. การตักวา เป็นสาเหตุให้อะมัลมีคุณค่าและถูกตอบรับและทำให้ได้รับการอภัยโทษ อัลเลาะฮ์ทรงตรัสความว่า "โอ้บรรดาผู้ศรัทธาเอ๋ย ! จงตักวาต่ออัลลอฮ์ และจงกล่าวถ้อยคำที่เที่ยงธรรมเถิด พระองค์จะทรงปรับปรุงการงานของพวกเจ้าให้ดีขึ้นสำหรับพวกเจ้า และจะทรงอภัยโทษความผิดของพวกเจ้าให้แก่พวกเจ้าและผู้ใดเชื่อฟังปฏิบัติตามอัลลอฮ์แล่ะร่อซู้ลของพระองค์ แน่นอนเขาได้รับความสำเร็จใหญ่หลวง" 33:70-71<br />8. การตักวา เป็นสาเหตุทำให้ได้รับความรักต่ออัลเลาะฮ์ตาอาลา ซึ่งความรักนี้จะได้รับทั้งในโลกนี้เฉกเช่นเดียวกับโลกหน้า อัลเลาะฮ์ทรงตรัสความว่า "มิใช่เช่นนั้นดอก ผู้ใดที่รักสัญญาของเขาโดยครบถ้วน และตักวา (อัลลอฮ์) แล้วแน่นอนอัลลอฮ์ทรงรักผู้ที่มีความตักวานั้น" 3:76<br />9. การตักวา เป็นเหตุให้เราได้รับความรู้ อัลเลาะฮ์ทรงตรัสความว่า "และพวกเจ้าจงตักวาต่ออัลลอฮ์เถิด และอัลเลาะฮ์จะทรงสอนพวกเจ้า" 2:282<br />10. การตักวา เป็นสาเหตุให้ได้รับข่าวดีในโลกนี้ ไม่ว่าจะได้รับการฝันเห็นสิ่งดี ๆ บรรดาผู้คนให้ความชื่นชอบ มอบความรักและให้การสรรเสริญต่อเขา อัลเลาะฮ์ทรงตรัสความว่า "คือบรรดาผู้ศรัทธา และพวกเขามีความตักวา สำหรับพวกเขาจะได้รับข่าวดีในการมีชีวิตอยู่ในโลกนี้ (เช่นการฝันเห็นสิ่งดีงาม) และในโลกหน้า ไม่มีการเปลี่ยนแปลงในลิขิตของอัลลอฮ์ นั่นคือชัยชนะอันยิ่งใหญ่" 10:63-64<br /><br />11 Responses to “ตักวา (ตอนที่ 3)”<br />หัวใจร้องไห้ Says: <a title="" href="http://deen2do.com/taqwa/2007/11/05/taqwa3/#comment-88">พฤศจิกายน 6th, 2007 at 4:27 am</a><br />นั่นเพราะเรายังมีความตักวายำเกรง อยู่ในส่วนลึกของหัวใจ ที่ชัยฏอนอยู่ในเส้นเลือดเราไม่สามารถพิชิตได้ และเราทั้งหมดต่างหากคือผู้ชนะอย่างแท้จริง<br />Goddut Says: <a title="" href="http://deen2do.com/taqwa/2007/11/05/taqwa3/#comment-89">พฤศจิกายน 10th, 2007 at 1:52 pm</a><br />คนรู้จักกันต้องมี ทั้งความ อัคลาค และอิคลาส<br />ความมีมารยาท จะช่วยให้พวกเขานั้นรักกัน ปรองดองกัน ไม่ขุ่นค้องหมองใจกันความบริสุทธิ์ใจ จะช่วยให้พวกเขาเปิดเผยในเรื่องที่ดี และรู้จักยอมรับในสิ่งที่ผิดพลาด<br />ในเมื่อเราเป็นพี่น้องกัน ก็ย่อมจะต้องช่วยเหลือดูแลกันทั้งหมดในทุกเรื่องนั้น ไม่ว่าเรื่องใดๆ เมื่อมีปัญหาต่างก็ต้องเจ็บปวดด้วยกันทุกฝ่าย<br />ไม่มีใครเป็นผู้ที่ถูกครบถ้วนสมบูรณ์ และก็ไม่มีใครเป็นผู้ที่ผิดทุกประการต่างคนต่างก็มีข้อบกพร่องด้วยกันทั้งนั้น จึงทำให้มีปัญหาเกิดขึ้นในสังคมชีวิตดุนยา<br />เราต่างต้องยอมรับ ในสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นบ้างไม่ว่าจะเรา จะเขา ทุกคนย่อมมีเรื่องต้องทบทวน กับความบกพร่องการกล่าวว่าตนเองไม่บกพร่องในเรื่องๆ หนึ่ง หรือการกล่าวว่าตนเองไม่ใช่คนผิดนั้น เป็นการไม่ยอมรับความจริง<br />ผู้ที่ให้เกียรติอัลลอฮฺ อัลลอฮฺก็จะทรงยกระดับแล้วให้เกียรติเขาเช่นกันวัสลาม…<br /><a href="http://www.sunnahstudent.com/" rel="external nofollow">al-farook</a> Says: <a title="" href="http://deen2do.com/taqwa/2007/11/05/taqwa3/#comment-90">พฤศจิกายน 11th, 2007 at 1:05 am</a><br />จงเตาบะฮ์ต่ออัลเลาะฮ์และมะอัฟในสิทธิ์ของผู้ที่เราล่วงเกินเท่านั้นก็พอ ^^ รออัลเลาะฮ์ทรงตอบแทน ดังนั้น เรามามีความตักวายำเกรงกันเถิด เพื่ออย่างน้อยอัลเลาะฮ์จะทรงประทาน ผลแห่งการตักวา 10 ประการให้แก่เราในโลกนี้<br />1. การตักวา เป็นเหตุให้กิจการงานต่าง ๆ มีความง่ายดาย<br />2. การตักวา เป็นสาเหตุในการปกป้องโทษต่าง ๆ ของชัยฏอน<br />3. การตักวา เป็นเหตุให้ความจำเริญได้เปิดและเพิ่มพูนริสกีจากฟากฟ้าและแผ่นดิน<br />4. การตักวา เป็นเหตุให้บ่าวได้รับทางนำในการจำแนกความจริงและความเท็จได้<br />5. การตักวา เป็นเหตุทำให้รอดพ้นจากความยากลำบาก ได้รับริสกีและมีความสะดวกสบายสำหรับผู้ที่มีความตักวาอย่างไม่สามารถคำนวนได้<br />6. การตักวา เป็นเหตุทำให้เขาเป็นคนรักของอัลเลาะฮ์ตาอาลา<br />7. การตักวา เป็นสาเหตุให้อะมัลมีคุณค่าและถูกตอบรับและทำให้ได้รับการอภัยโทษ<br />8. การตักวา เป็นสาเหตุทำให้ได้รับความรักต่ออัลเลาะฮ์ตาอาลา ซึ่งความรักนี้จะได้รับทั้งในโลกนี้เฉกเช่นเดียวกับโลกหน้า<br />9. การตักวา เป็นเหตุให้เราได้รับความรู้<br />10.การตักวา เป็นสาเหตุให้ได้รับข่าวดีในโลกนี้ ไม่ว่าจะได้รับการฝันเห็นสิ่งดี ๆ บรรดาผู้คนให้ความชื่นชอบ มอบความรักและให้การสรรเสริญต่อเขา<br />คำถาม คือ :<br />จาก 10 ประการ พวกเราได้รับกี่ประการแล้วจากสิ่งที่อัลเลาะฮ์ทรงสัญญาให้แก่เราในอัลกุรอาน^^<br /><a href="http://www.nadim.com/" rel="external nofollow">นาดิม</a> Says: <a title="" href="http://deen2do.com/taqwa/2007/11/05/taqwa3/#comment-96">พฤศจิกายน 12th, 2007 at 11:09 pm</a><br />ต่อไปเราต้องส่งเสริมให้มีความยำเกรง เพื่ออัลเลาะฮ์จักทรงพึงพอพระทัย และตอบแทนผลแห่งการยำเกรงในทั้งโลกดุนยาและโลกอาคิเราะฮ์<br />ท่านนบี ซ๊อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า “หากแม้นฟาติมะฮ์ได้ทำการโขมย ฉันก็จะตัดมือของนาง”<br />หะดิษตรงนี้ ท่านนบีพยายามสอนให้ประชาชาติที่มีความยำเกรงเข้าใจว่า ท่านไม่เคยปกป้องในสิ่งที่เป็นอธรรม ปกป้องด้วยวิธีการที่อธรรม หรือปกป้องเพื่อสร้างความพอใจให้กับบุคคลหนึ่ง ซึ่งนั่นไม่ใช่อิสลาม แม้นคนที่เป็นรักยิ่งของท่านนบีได้โขมย ท่านก็จะตัดมือ นั่นคือการปกป้องผู้ที่ท่านนบีรักและอัลเลาะฮ์ก็พอพระทัย ดังนั้น การปกป้องด้วยความดีงาม ปกป้องด้วยกับสิ่งที่ทำให้เกิดความเข้าใจอันดีต่อกัน ย่อมไม่เสียหายหากแม้นว่าจะขมขื่นก็ตามที เพราะฉันต้องการให้อัลเลาะฮ์พอใจไม่ใช่ให้มนุษย์พอใจและกลับมาเอาใจ แต่คงไม่ผิดหากเราจะสร้างความเข้าใจ(มิใช่สร้างความพอใจ) แม้จะเล็กน้อยก็ตาม และนั่นย่อมเป็นการตักวายำเกรงยิ่งกว่าซึ่งบุคคลบางส่วนไม่ปรารถนา<br /><a href="http://www.nadim.com/" rel="external nofollow">ถึงเวลาแล้วครับ</a> Says: <a title="" href="http://deen2do.com/taqwa/2007/11/05/taqwa3/#comment-97">พฤศจิกายน 13th, 2007 at 2:11 am</a><br />อัลเลาะฮ์ทรงตรัสว่า<br />يَا أَيُّهَا الَّذِينَ آمَنُوا اجْتَنِبُوا كَثِيراً مِّنَ الظَّنِّ إِنَّ بَعْضَ الظَّنِّ إِثْمٌ وَلَا تَجَسَّسُوا<br />“โอ้บรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลาย! พวกเจ้าจงออกห่างจากการคาดคิดอันมากมาย เพราะบางอย่างของการคาดคิดนั้นเป็นบาป(เพราะมันไม่จริง) พวกเจ้าอย่าสืบเสาะแสวงหามุ่งจับผิดคน…”<br />อายะฮ์นี้สำหรับคนที่มีความตักวายำเกรง ที่ไม่บังควรนำความอคติที่ฝังรากในจิตใจมาเป็นบรรทัดฐานในการตัดสินผู้อื่น การสืบเสาะเจาะข้อความหรือเรื่องส่วนตัวของบุคคลอื่นนั้น ไม่ใช่เป็นพฤติกรรมของคนดี (แต่อัลเลาะฮ์ทรงรับการเตาบะฮ์เสมอ) อีกทั้งยังทำให้ความตักวายำเกรงสั่นคลอนไปหรือล่มสลายลงไป<br />ดังนั้น เมื่อสืบเสาะมาได้ตามที่จิตใจตนเองปรารถนาต้องการ ก็อย่าเสริมเติมแต่งคิดแทนตามเจตนาของคนอื่นจนกลายเป็นการละเมิดเกินจริง<br />ฉะนั้น หากสิ่งใดคิดว่าเป็นความผิด เราก็จงทำการมะอัฟต่อผู้ที่เป็นของเจ้าของสิทธิ์ที่เราละเมิดและเตาบะฮ์ต่ออัลเลาะฮ์ ไม่จำเป็นต้องประกาศก็ได้เพราะอาจเสี่ยงต่อความไม่บริสุทธิ์ใจ นั่นคือสิ่งที่เราสามารถจะสร้างความตักวายำเกรงได้มากที่สุดเท่าที่สามารถ ดังนั้น เราเคยคิดว่าตนเองผิดบ้างไหมครับ? ^^DORKPLAhttp://www.blogger.com/profile/03890331456990457900noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-63833486415872091.post-17952036237476909172009-02-21T18:00:00.000-08:002009-02-21T18:14:42.564-08:00ความศรัทธาและเชื่อมั่นในอัลลอฮ์<span style="font-family:arial;color:#000099;"><strong>ความศรัทธาและความเชื่อมั่นในอัลลอฮ์<br /></strong></span><br /><span style="font-family:arial;color:#000099;"> ความศรัทธาและความเชื่อมั่นในอัลลอฮ์ชัยค์ ดร. มุซซัมมิล ซิดดีกีย์อบู ฮุมัยเราะฮฺ แปลและเรียบเรียง<br /><br /> “และหากว่าอัลลอฮ์ ทรงให้ความเดือดร้อนอย่างหนึ่งอย่างใดประสบแก่เจ้า ก็ไม่ม่ผู้ใดจะเปลื้องมันได้ นอกจากพระองค์เท่านั้นและหากพระองค์ทรงให้ความดีอย่างหนึ่งอย่างใดประสบแก่เจ้า แท้จริงพระองค์นั้นทรงเดชานุภาพเหนือทุกสิ่งทุกอย่าง และพระองค์คือผู้ทรงชนะเหนือปวงบ่าวของพระองค์ และพระองค์คือผู้ทรงปรีชาญาณผุ้ทรงรอบรู้อย่างละเอียดถี่ถ้วน” อัล อันอาม 17-18 เราจะต้องมีความศรัทธาที่หนักแน่นและลึกซึ้งและเชื่อมั่นในอัลลอฮ์ อัลลอฮ์ทรงรอบรู้ทุกสรรพสิ่งและพระองค์ทรงอยู่กับเราไม่ว่าเราจะอยู่ที่ใดก็ตาม พระองค์ทรงมีอำนาจและทรงเดชานุภาพพระองค์ทรงปรีชาญาณและทรงเมตตา เราจะต้องเชื่อมั่นต่ออัลลอฮ์ในทุกสถานการณ์ไม่ว่าจะสุขหรือทุกข์ ไม่ว่าจะประสบความสำเร็จหรือเผชิญกับความลำบากหรือปัญหาต่างๆ ท่านอับดุลลอฮ์ อิบนุ อับบาส ได้รายงานว่า ครั้งหนึ่งฉันอยู่ข้างหลังท่านเราะซูล ท่านได้พูดกับฉันว่า “เด็กน้อยเอ๋ย ฉันจะสอนเจ้าถึงคำพูดไม่กี่คำว่า จงรำลึกถึงอัลลอฮ์ แล้วอัลลอฮ์จะทรงคุ้มครองเจ้า จงนึกถึงอัลลอฮ์(คือ การปฏิบัติตามคำสั่งใช้และออกห่างจากคำสั่งห้ามของพระองค์)และเจ้าจะพบว่าพระองค์นั้นอยู่ใกล้เจ้า เมื่อเจ้าวิงวอนขออะไรก็จงวิงวอนขอต่ออัลลอฮ์ เมื่อเจ้าแสวงหาความช่วยเหลือ ก็จงแสวงหาความช่วยเหลือจากอัลลอฮฺ จงศรัทธามั่นว่าถ้าสิ่งถูกสร้างทั้งปวงปรารถนาที่จะให้ประโยชน์แก่เจ้า พวกเขาก็ไม่สามารถยังประโยชน์แก่เจ้าได้เว้นแต่อัลลอฮ์ทรงกำหนดให้แก่เจ้า ถ้าพวกเขาทั้งหมดรวมตัวกันเพื่อที่จะทำร้ายเจ้า พวกเขาไม่สามารถทำร้ายเจ้าได้ เว้นแต่สิ่งที่อัลลอฮ์ทรงกำหนดไว้แล้ว”บันทึกโดย อัต ตริมีซีย์ นี่คือคำพูดที่มีความสำคัญ มันเป็นส่วนหนึ่งของความศรัทธาของพวกเราในฐานะที่เป็นมุสลิม เราเชื่อในพระเจ้าองค์เดียว เราเป็นมนุษย์แห่งเตาฮีด(อินซานุดเตาฮีด) เตาฮีดมีผลต่อการดำเนินชีวิต บุคลิกภาพและพฤติกรรมของเราที่มีลักษณะดังนี้ 1.มีเกียรติและความน่านับถือ ผู้ที่ศรัทธาในหลักเตาฮีดทราบดีว่าอัลลอฮ์เท่านั้นผู้เป็นเจ้าแห่งอำนาจทั้งหลายและไม่มีใครเทียบเท่าพระองค์ซึ่งสามารถให้คุณและโทษแก่ผู้หนึ่ง สามารถตอบสนองความต้องการของเขา สามารถให้หรือเอาชีวิตหนึ่งหรือใช้อำนาจบังคับสิ่งใดก็ได้ สิ่งนี้ทำให้คนๆหนึ่งมีความเป็นอิสระและได้รับเกียรติอย่างสูง คนเช่นนี้จะไม่ลดเกียรติตัวเองโดยการก้มกราบแสดงความจงรักภักดีต่อสิ่งถูกสร้างใดๆ หรือการวิงวอนขอต่อผู้หนึ่งผู้ใดเขาจะไม่มีความเกรงกลัวต่อบารมีของใครทั้งสิ้น มนุษย์แห่งเตาฮีดมีความมุ่งมั่นสูง มีความอดทน มีความอุตสาหะ เขาจะไม่สั่นคลอนจากความทุกข์ยากใดๆ เขาไว้วางใจต่ออัลลอฮ์ และเขามอบความเชื่อมั่นของเขาต่อพระองค์ เมื่อบุคคลเช่นนี้ตัดสินใจและอุทิศตัวเพื่อปฏิบัติตามคำสั่งต่างๆของอัลลอฮ์ เขาก็จะมีความเชื่อมั่นอย่างเต็มเปี่ยมในการช่วยเหลือของพระผู้ทรงอำนาจเหนือทุกสิ่ง2.มีความนอบน้อมและความถ่อมตน ผู้ที่ศรัทธาในหลักเตาฮีดรู้ดีว่าอัลลอฮ์คือผู้ทรงอำนาจเหนือทุกสิ่งและอัลลอฮ์เท่านั้นที่ควบคุมกิจการทุกอย่าง สิ่งที่แต่ละคนครอบครองคือสิ่งที่อัลลอฮ์ทรงประทานให้ พระองค์สามารถเอาคืนกลับเช่นเดียวกับที่ทรงมอบให้ พระองค์ทรงรอบรู้ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นในโลกนี้ ใหญ่หรือเล็ก ดีหรือชั่ว เป็นประโยชน์หรือไม่ ประสบผลสำเร็จหรือพ่ายแพ้ เพิ่มขึ้นหรือลดลง มีชีวิตรหรือตาย ร่ำรวยหรือยากจน แข็งแรงหรือป่วยไข้ ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเกิดขึ้นด้วยพระประสงค์ของอัลลอฮ์ ผู้ที่มีความศรัทธาในหลักเตาฮีดจะไม่โอหังและหยิ่งยโสเพราะเขาเชื่อว่าคุณงามความดีและความสำเร็จของเขามิได้เกิดเนื่องจากอำนาจของเขา มันเป็นรางวัลจากอัลลอฮ์ บุคคลเช่นนี้มักแสดงความขอบคุณต่ออัลลอฮ์อยู่เสมอและมีความสำจนึกอยู่ตลอดว่าเขานั้นต้องพึงพาอัลลอฮ์แค่ไหน3.มีศีลธรรมจรรยามีมนุษยธรรมและมีความเมตตาต่อผู้อื่น ผู้ที่มีศรัทธาในหลักการเตาฮีดเป็นผู้ดำรงอย่างมีศีลธรรม จริยธรรมในตัวเขาทั้งหมดล้วนมาจากที่มาเพียงหนึ่งเดียวและอำนาจแหล่งเดียว อำนาจแห่งอัลลอฮ์ พระองค์ไม่มีสองมาตรฐานหรือหลายมาตรฐานเป็นพระองค์อภิบาลเพียงหจฃนึ่งเดียวเท่านั้นและเป็นพระผู้อภิบาลที่ปฏิบัติต่อผู้คนอย่างเท่าเทียมกัน หลักการต่างๆของอัลลอฮ์นั้นเป็นสากลและมันสอดคล้องกับมนุษย์ในทุกสถานที่ ผู้ศรัทธาในหลักการเตาฮีดรู้ดีว่าอัลลอฮ์ทรงสร้างทุกสรรพสิ่งในจักรวาลนี้ และทุกสรรพสิ่งและสิ่งที่มีอยู่ทั้งหมดเป็นของพระองค์ สิ่งนี้ทำให้บุคคลหนึ่งเป็นคนเปิดกว้าง มีความอดทนและมีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ บางครั้งมีคนพูดว่าความเชื่อในพระเจ้าองค์เดียวนั้นทำให้คนใจแคบ ในทางกลับกันเราขอกล่าวว่าหลักความเชื่อแบบนี้ใจกว้างมากทีสุดและเป็นระบบศรัทธาที่เปี่ยมไปด้วยความเมตตา เพราะเราไม่เชื่อว่าสิ่งนี้(ความใจแคบ)จะมีอยู่กับพระเจ้าของเราแต่สิ่งนี้มันมีอยู่กับเจ็วดอื่น คือความเชื่อในพระเจ้าหลายองค์และการไม่เชื่อในพระเจ้านั้นจะได้แบ่งมนุษย์ออกเป็นวรรณะต่างๆและสร้างความไม่อดทนอดกลั้นและความขัดแย้งกัน4.มีความสงบและความปิติยินดี<br /> ความเชื่อในหลักการเตาฮีดทำให้หัวใจนั้นบริสุทธิ์จากความริษยา ความอิจฉา ความโอหัง และทำให้ห่างไกลจากการล่อลวงของการใช้หนทางไปสู่ความสำเร็จโดยไม่สนใจวิธีการใดๆ(จะดีหรือชั่วก็ตาม) ผู้ศรัทธาเชื่อว่าทุกสรรพสิ่งอยู่ในพระหัตถ์ของอัลลอฮ์ เกียรติ ความสามารถ คำสรรเสริญ อำนาจ และทุกสรรพสิ่งอยู่ภายใต้การควบคุมดูแลของพระองค์ทรงให้แก่ผู้ใดก็ตามที่พระองค์ทรงประสงค์ ภาระหน้าที่ของการเป็นมนุษย์จะต้องบากบั่น จะต้องทำความดี และจะต้องมีความเชื่อมั่นในอัลลอฮ์ .........................................<br /> <br /></span>DORKPLAhttp://www.blogger.com/profile/03890331456990457900noreply@blogger.com0